การคิดสร้างสรรค์(Creativity)

From Knowledge sharing space
Jump to: navigation, search

ความคิดสร้างสรรค์นับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการคิด และมีความสำคัญต่อทั้งในระบบการศึกษาและสังคม เพราะหากว่าสังคมขาดสสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สังคมก็คงขาดนวตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์แนวคิดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งต่างๆ มากขึ้น การพัฒนาให้คนเรามีความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำได้โดยง่ายและบ่อยครั้งถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วสามารถพัฒนาให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ (วศิณีส์, 2560)

ความหมาย

นักการศึกษาได้ให้คำจำกัดความของการคิดสร้างสรรค์ไว้คือ

  • ความสามารถในการแก้ปัญหาและคิดผลิตภัณฑ์และการหยิบยกคำถามใหม่ๆ(Gardner,1993)
  • กระบวนการจินตนาการซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างเป็นผู้ริเริ่มแรก และมีคุณค่า(Rodinson,2001)
  • การมีคุณลักษณะของความใหม่ ประสิทธิผลและมีจริยธรรม(Cropley,2001)

นอกจากนี้กิลฟอร์ดและทอแรนซ์ (Guilford and Torance, 1960) ได้แบ่งความคิดสร้างสรรค์ออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) ความคิดคล่องตัว 2)ความคิดยืดหยุ่น 3)ความละเอียดละออ และ 4)ความริเริ่ม

อาจกล่าวโดยรวมได้ว่าความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งสามารถคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ทฤษฎีหรือปฏิบัติได้อย่างรอบคอบและถูกต้อง จนนำไปสู่การคิดค้นและนวัตกรรม
CREATIVITY มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน “CREO” = TO CREATE, TO MAKE =สร้างหรือทำให้เกิด

ความคิดสร้างสรรค์คือ ปรากฏการณ์ที่บุคคลสร้างสรรค์”สิ่งใหม่” อาทิ ผลผลิต การแก้ปัญหา นวัตกรรม หรืองานศิลปะ ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่า การจะตีความเกี่ยวกับ”ความใหม่” ขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์หรือสังคม หรือแวดวงที่สิ่งใหม่นั้นเกิดขึ้น การประเมินคุณค่าก็ในทำนองเดียวกัน คุณสมบัติที่มักใช้ในการตีความ “ความใหม่” ประกอบด้วย (เพ็ญนิดา, 2560)

  • สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
  • สิ่งประดิษฐ์ที่อาจปรากฏอยู่ที่อื่น แต่มีผู้สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยอิสระ
  • การคิดวิธีดำเนินการใหม่
  • ปรับกระบวนการผลผลิตเข้าสู่ตลาดที่แตกต่างออกไป
  • คิดวิธีการใหม่ในการแก้ไขปัญหา
  • เปลี่ยนแนวคิดที่แตกต่างจากผู้อื่น
Maker3.jpg
Maker6.jpg


นอกจากนี้ความคิดสร้างสรรค์คือ ความคิดใหม่ ๆ แนวทางใหม่ ๆ ทัศนคติใหม่ ๆ ความเข้าใจและการมองปัญหาในรูปแบบใหม่ ผลลัพท์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจน คือ ดนตรี การแสดง วรรณกรรม ละคร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมทางเทคนิค แต่บางครั้งความคิดสร้างสรรค์ก็มองไม่เห็นชัดเจน เช่น การตั้งคำถามบางอย่างที่ช่วยขยายกรอบของแนวคิดซึ่งให้คำตอบบางอย่าง หรือการมองโลกหรือปัญหาในแนวนอกกรอบ

โดยความคิดสร้างสรรค์มีวิธีการอยู่ ๖ ขั้นตอน คือ

  • แสวงหาข้อบกพร่อง(MESS FINDING)
  • รวบรวมข้อมูล(DATA FINDING)
  • มองปัญหาทุกด้าน(PROBLEM FINDING)
  • แสวงหาความคิดที่หลากหลาย(IDEA FINDING)
  • หาคำตอบที่รอบด้าน(SOLUTION FINDING)
  • หาข้อสรุปที่เหมาะสม(ACCEPTANCE FINDING)

กระบวนการของความคิดสร้างสรรค์ อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยความตั้งใจ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการศึกษา การอบรมฝึกฝน การระดมสมอง (BRAIN-STORMING) มากกว่าครึ่งหนึ่งของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก เกิดจากการค้นพบโดยบังเอิญ(SERENDITY) หรือการค้นพบสิ่งหนึ่งซึ่งใหม่ ในขณะที่กำลังต้องการค้นพบสิ่งอื่นมากกว่า

การเสริมสร้างความสามารถทางความคิดสร้างสรรค์

ในการเสริมสร้างขีดความสามารถมีกิจกรรมหลักที่จะช่วยเกื้อหนุนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใน 4 กิจกรรมหลัก คือ การสร้างแรงจูงใจ การมีแรงบันดาลใจ การให้เวลา และการร่วมมือ (บรรจง, 2556)

  • แรงจูงใจ นับว่าเป็นที่ต้องการในการที่จะให้คิดอย่างสร้างสรรค์ ความลุ่มหลงในงานงานนับเป็นอีกหนทางของนักวิทยาศาสตร์และศิลปินในการสร้างสรรค์งาน การสร้างสรรค์ของแต่ละคนจึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการกระตุ้นทั้งภายในและภายนอก และได้รับการกระตุ้นจากบุคคลอื่น โดยมีการกระตุ้นทั้งในห้องเรียน ที่บ้าน หรือที่ทำงาน และในทุกตำแหน่งของสังคม
  • แรงบันดาลใจ หมายเกิดแรงบันดาลใจด้วยตนเอง หรือเป็นแรงบันดาลใจที่ได้รับการกระตุ้นจากผู้อื่น ความสร้างสรรค์มาจากแรงขับจากการกระหายใคร่รู้ ปัจจัยเข้าใหม่ และความรู้ที่เพิ่มพูนในขั้นตอนแรก แล้วการสร้างให้เกิดความกระหายใคร่รู้นับเป็นการใส่ใจต่อสิ่งต่างๆด้วยตัวของเขาเอง การกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อาจเพิ่มการสังเกตมากขึ้นและถามคำถามให้มากขึ้นต้องมีการสร้างให้มีบรรยากาศของความสร้างสรรค์ และใช้การสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นมากกว่าจะไปใช้วิธีการที่บังคับเอา ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการทำให้เกิดความอยากรู้ก็คือการที่มีปัจจัยนำเข้าใหม่ๆ เข้ามาสู่เราก็จะทำให้เกิดความตื่นตัว เช่น อาจไปสถานที่ที่แปลกออกไป พบหาผู้คนใหม่ๆ อาจไปดูละคร อ่านหนังสือหรือทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน การสร้างแรงบันดาลใจที่ดีอาจกระทำด้วยการให้คนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ การสร้างให้เกิดแรงบันดาลทั้งตนเองและผู้อื่นคงต้องใช้ทุกเทคนิคและหาความเหมาะสมแต่ละกันที่แตกต่างกันไป
  • การให้เวลาพอควร การคิดสร้างสรรค์ควรต้องมีเวลาบ่มเพราะพอควรที่จะทำให้คิดผุดขึ้น การหยั่งลึก สัญชาตญาณและแรงบันดาลใจ ล้วนมีความสัมพันธ์เชื่องโยงกับความสร้างสรรค์การหยั่งรู้อย่างสร้างสรรค์เป็นผลจากกระบวนการของจิตใต้สำนึก แต่ใช้เวลาพอควร แต่ในสังคมปัจจุบันจะมีปัญหาของการที่เรามักจะทำอะไรได้รวดเร็ว รวบรัด อาจทำให้ขัดกับวิธีปฏิบัติของการที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะบ่อยครั้งที่เราการเวลา แม้กระทั่งความเงียบในการที่จะคิดทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก และบางกิจกรรมต้องทำและคิดต่อเนื่องยาวนาน
  • การร่วมมือ การทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ต้องอาศัยการร่วมมือกัน เช่น อาจจะต้องอาศัยครูหรือบุคคลอื่นที่สำคัญในการที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ โดยอาจได้ในลักษณะของการเห็นตัวอย่างและการสอนอย่างชันเจนในเรื่องนี้ เราทุกคนล้วนมีความสามารถในความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเราอาจเห็นได้จากเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น แต่ในระดับผู้ใหญ่ ความ สร้างสรรค์อาจถูกเก็บกดผ่านทางการศึกษา แต่อันที่จริงแล้วความสร้างสรรค์นั้นยังคงอยู่


วิธีการคิดสร้างสรรค์ (Creative Methods)

มีวิธีการที่หลากหลายแต่ที่สำคัญมี ๕ วิธีการ คือ

  • วิวัฒนาการ (evolution) เป็นวิธีการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยวิธีการแบบสะสมทีละขั้นตอน ความคิดใหม่เกิดจากความคิดหลากหลาย แนวทางแก้ปัญหาใหม่ ๆเกิดจากแนวทางเก่า ๆ แต่ปรับปรุงให้ดีขึ้น
  • การผสมผสาน (synthesis) เป็นการผสมผสานหรือสังเคราะห์แนวคิดที่ ๑ กับ ที่ ๒ เป็นแนวคิดที่ ๓ ซึ่งกลายเป็นความคิดใหม่ เช่น ความคิดเกี่ยวกับหนังสือแมกกาซีนกับเครื่องเล่นเทป กลายเป็นแมกกาซีนที่สามารถเปิดฟังได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้พิการที่ตาบอด
  • การปฏิวัติ (revolution) ในบางครั้งความคิดใหม่ ๆเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เช่น แทนที่จะให้อาจารย์บรรยายให้นักเรียนฟังแบบเดิม ๆ ก็เปลี่ยนเป็นให้นักเรียนทำงานเป็นทีมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันด้วยการนำเสนอสิ่งที่ตนค้นพบ
  • ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่(reapplication) ปรับมุมมองเรื่องเก่า ด้วยมุมมองใหม่หรือมองแบบนอกกรอบ เช่นการใช้คลิปหนีบกระดาษเป็นไขควง เป็นต้น
  • ปรับเปลี่ยนทิศทาง (changing direction) เป็นการปรับเปลี่ยนทิศทางการมองปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลาย


ทัศนคติทางลบที่เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์

  • ไม่ยอมรับฟังปัญหา
  • ถอดใจหรือยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้งหรือตั้งแต่ยังไม่เริ่มสงคราม เพราะเชื่อว่าไม่ สามารถแก้ไขได้
  • ไม่เชื่อว่าตนจะสามารถทำอะไรได้
  • คิดเอาเองว่าตนไม่มีความคิดสร้างสรรค์
  • กลัวคนอื่นว่าในความคิดของตนเอง

สิ่งที่หยุดยั้งความคิดสร้างสรรค์

  • อคติ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีอคติมาก
  • ยึดติดกับภาระหน้าที่มากเกินไป เช่น ไม้กวาดใช้สำหรับกวาดพื้น แต่ลืมคิดไปว่าสามารถใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ หรือ กรณีรถไฟที่มีความเร็วไม่มาก แต่ไม่ยอมพัฒนาจึงเสื่อมความนิยมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีผู้คิดค้นรถไฟความเร็วสูง(bullet train)
  • หมดหวังที่จะเรียนรู้ ชอบอ้างว่าอายุมาก ไม่มีเงินไม่มีเครื่องมือ ไม่มีความสามารถ ชอบจำกัดตนเอง
  • ปิดกั้นตนเอง เช่น หากเดินทางในป่าและเกิดหลงทาง ไม่ยอมกินสิ่งที่ตนไม่คุ้นเคย จนเสียชีวิตเพราะอดอาหาร ซึ่งหมายถึง บางครั้ง แม้จะพบหรือ ได้ฟังความคิดดี ๆ แต่ก็ไม่ยอมรับเพราะไม่ชอบหรือไม่คุ้นเคย(ในสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันแก้ปัญหาเรื่องทากดูดเลือดด้วยการสวมถุงน่องสตรี)


ทัศนคติเชิงบวกที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

ความกระหายใคร่รู้: อยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง(Curiosity)

ความท้าทาย(Challenge)

ไม่ยอมรับความไม่สร้างสรรค์(Constructive Discontent) ความเชื่อว่าปัญหาส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้(A belief that most problems can be solved)

ความอดทน(Perseverence)ในการรับฟังคำวิจารณ์และไม่ด่วนตัดสินใจ

มีความคิดและจินตนาการที่ยืดหยุ่น(A flexible imagination)

มองเห็นสิ่งดี ๆในเรื่องที่ไม่ดี

การเกิดปัญหาย่อมนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคือเรื่องปกติ

ปัญหาในตัวของมันเองคือทางแก้ไขปัญหาคือโอกาส

ปัญหาเป็นเรื่องน่าสนใจและยอมรับได้

ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เอาจริงเอาจัง

เอกสารอ้างอิง

บรรจง อมรชีวิน. (2556). เปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นห้องคิดด้วยการสืบถามเชิงปรัญชา (Thinking Classroom). กรุงเทพฯ: หจก.ภาพพิมพ์.

เพ็ญนิดา ไชยสายัณห์. (2560). Creative Thinking ความคิดสร้างสรรค์ฝึกฝนได้. สืบค้นจาก http://imdesign-studio.com/creative-thinking-ความคิดสร้างสรรค์ฝึก/

วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา. (2560). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ STEM Education(สะเต็มศึกษา). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.