วิธีสอนแบบโสเครติส

From Knowledge sharing space
Jump to: navigation, search

การสอนแบบโสเครติสคืออะไร ?

ความหมาย วิธีโสเครติส (Socrates method)

โสเครติส (Socrates, 469-399 B.C.E) นักปรัชญาและนักการศึกษาชาวกรีกที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะ นักคิดที่ยิ่งใหญ่ของปรัชญาตะวันตก (The great thinker of western philosophy) เป็นครูสอนตรรกวิทยาและหลักการประชาธิปไตย รูปแบบการสอนของโสเครติสจะไม่ใช่สอนโดยวิธีบรรยาย แต่จะสอนด้วยการสนทนาและการถามตอบโดยจะตั้งคำถามหลายๆข้อ เพื่อให้นักเรียนดึงความรู้จากประสบการณ์ออกมาให้ได้ การสนทนาระหว่างโสเครติสกับนักศึกษาจะดำเนินไปทีละขั้นตอนตามแนวทางที่นักปรัชญาในอดีตเคยใช้ในการค้นหาความรู้ นักเรียนแต่ละคนจะทำงานหนักเช่นเดียวกันกับครู เนื่องจากครูจะป้อนคำถามไปเรื่อยจนกว่านักเรียนจะพบคำตบด้วยตัวเอง วิธีการนี้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ (มัณฑรา ธรรมบุศย์)

ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ ได้ระบุว่า วิธีสอนแบบโสเครติส เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนใช้เหตุผลในการสืบค้นร่วมกันโดยการสนทนา (Dialogical enquiry) และมีการใช้คำถามแบบต่อเนื่องเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อเข้าถึงความจริง

เทคนิคการตั้งถามโดยวิธีโสเครติส

การตั้งคำถามโดยวิธีโสเครติสมีเป้าหมายหลัก คือ เพื่อท้าทายนักเรียนให้ค้นหาตำตอบจากการคิดจนกว่าจะได้คำตอบที่สมบูรณ์และถูกต้อง คำถามที่โสเครติสมักใช้ในการสอนมีอยู่ 6 ประเภท ดังนี้

1. Conceptual Clarification Questions

เป็นคำถามที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนทำความกระจ่างกับคำตอบตนเอง โดยให้ผู้เรียนทบทวนอีกครั้งหนึ่งถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของคำถาม หรือความถูกต้องของคำตอบ เป็นการตรวจสอบความคิดของตนเองหลังจากให้คำตอบไปแล้ว หรือหลังจากมรการอภิปรายถกเถียงกันในกลุ่มแล้ว คำถามแบบนี้จึงมีลักษณะของคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนบอกความคิดเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คำตอบที่เจาะลึกมากขึ้น

ตัวอย่างคำถามผู้สอนสามารถนำไปใช้ เช่น

ทำไมเธอจึงตอบอย่างนั้น?

ความหมายที่ถูกต้องจริงๆ คืออะไรกันแน่

คำตอบของเธอเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอย่างไร?

สรุปว่าตอนนี้เรารู้อะไรเกี่ยวกับ………….บ้าง

เธอยกตัวอย่างในสิ่งที่เธอกำลังพูดได้ไหม?

เธอกำลังพูดว่า……………หรือ…………..ใช่ไหม?

ลองพูดซ้ำอีกครั้งจะได้ไหม?

2. Probing Assumptions เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับข้อสันนิฐานและความเชื่อต่างๆ ที่ยังไม่แน่นอนซึ่งนักเรียนค้นพบในระหว่างที่มีการอภิปรายร่วมกัน คำถามที่ใช้จึงเป็นคำถามที่ต้องการหาข้อเท็จจริง

ตัวอย่างคำถามที่ใช้ เช่น

นอกจาก……………….ยังสามารถสันนิษฐานในแง่มุมใดได้อีก?

ดูเหมือนเธอจะสันนิษฐานว่า……….ใช่ไหม?

เธอเลือกข้อสันนิษฐานเหล่านี้มาโดยวิธีใด?

ลองอธิบายว่าทำไม/อย่างไร……………..?

เธอจะพิสูจน์หรือตรวจสอบข้อสันนิษฐานนี้ได้อย่างไร?

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า……………?

3. Probing Rationale, Reasons and Evidence

เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะแสดงความคิดเห็นโดยขาดเหตุผลหรือมีข้อสนับสนุนที่ยังอ่อนด้อยเกินไป

ดังนั้น คำถามประเภทนี้จึงต้องการให้ผู้เรียนคิดหาเหตุผลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนคำตอบที่ได้จากการอภิปรายถกเถียงกัน โดยต้องเป็นความคิดที่สมเหตุสมผล มีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น

ตัวอย่างคำถามที่ใช้ เช่น

ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น?

เธอรู้ได้อย่างไร?

ลองแสดงให้ดู หรือ แสดงให้เห็นว่า…………..?

เธอจะยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หรือไม่?

เธอคิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากอะไร?

เธอยืนยันเรื่องที่พูดได้หรือไม่?

เหตุผลที่เธอพูดมา เธอคิดว่าเพียงพอแล้วหรือยัง

เรื่องนี้มีข้อหักล้างได้หรือไม่?

ครูจะเชื่อได้อย่างไรในสิ่งที่เธอพูด?

4. Questioning Viewpoints and Perspectives

เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือเสนอมุมมองอื่นๆอีกที่เชื่อถือได้ ตัวอย่างคำถามที่ใช้ เช่น

เรื่องนี้ยังมีแง่มุมอื่นที่มีเชื่อถือได้อีกหรือไม่?

ทางเลือกอื่นในการพิจารณาเรื่องนี้มีอีกหรือไม่?

ทำไมเรื่อง………….จึงมีความสำคัญ?

ข้อแตกต่างระหว่าง………กับ………..คืออะไร?

ทำไมเรื่องนี้จึงดีกว่า………..?

จุดเด่นและจุดด้อยของ………คืออะไร?

………….กับ…………เหมือนกันอย่างไร?

เธอสามารถมองเรื่องนี้ในแง่มุมอื่นได้หรือไม่?

ถ้าเธอเปรียบเทียบ………….กับ…………….จะเป็นอย่างไร?

5. Probe Implications and Consequences

เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนคาดคะเนเกี่ยวกับการนำไปใช้และผลที่อาจเกิดตามมาภายหลัง ตัวอย่างคำถามที่นำมาใช้ เช่น

ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเรา?

ผลที่อาจเกิดขึ้นภายหลังของข้อสันนิษฐานนี้คืออะไร?

เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อใครบ้าง?

สิ่งที่กำลังพูดกันอยู่นี้สอดคล้องกับเนื้อหาที่เรียนอย่างไร?

สิ่งที่ดีที่สุดของ………….คืออะไร? เพราะเหตุใด?

6. Questions about the Question

เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนคิดทบทวนเกี่ยวกับคำถามที่ได้

ถามไปแล้ว ลักษณะของการถามจึงเป็นการสะท้อนคำถามกลับไปยังผู้ถามอีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่างคำถามที่นำมาใช้ เช่น

ประเด็นของการตั้งคำถามข้อนี้คืออะไร?

เธอคิดว่าครูถามคำถามข้อนี้เพราะเหตุใด?

คำถามนี้หมายความว่าอย่างไร?

จากทั้ง 6ตัวอย่างที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างข้างต้น คำถามดังกล่าวอาจมีผู้คิดว่าวิธีโสเครติสเป็นวิธีที่ง่าย แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นวิธีที่มีความเข้มงวดมาก เนื่องจากโสเครติสเชื่อว่า ความรู้ (Knowledge) และ การตระหนักรู้ (awareness) เป็นส่วนที่อยู่ภายในของเราทุกคน ดังนั้น ผู้ที่จะฝึกฝนการสอนที่ดีจะต้องพยายามเข้าให้ถึงระดับของความรู้และการตระหนักรู้ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวผู้เรียนให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้ผู้เรียนก้าวไปสู่การคิดในระดับใหม่ๆ ได้ คำถามที่ดีจึงมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ คือ

  • ทำให้ได้ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (factual information)
  • ทำให้เกิดความเชื่อโยงวามคิดรวบยอดต่างๆได้ (connecting concepts)
  • ช่วยทำให้ได้ข้อสรุปหรือข้อวินิจฉัย (making inferences) ที่สามารถอ้างอิงได้
  • ทำให้ผู้เรียนมีการตระหนักรู้มากขึ้น (increasing awareness)
  • ส่งเสริมความคิดริเริ่มและการคิดแบบจินตนาการ (encouraging creative and imaginative thought)
  • ช่วยให้เกิดกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ (aiding critical thinking processes)
  • ช่วยเหลือผู้เรียนในการสำรวจความรู้ การคิด และการเข้าใจในระดับที่ลึกมากขึ้น (helping learners explore deeper levels of knowing thinking, and understanding)

ประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับ

วิธีโสเครติสเป็นวิธีสอนแบบหนึ่งที่ส่งเสริมผู้เรียนให้ลง มือปฏิบัติจริง (active learning) สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนทุกระดับการศึกษา และยังสอดคล้องกับแนวนโยบายการจัดการศึกษาในยุคปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญดังนี้

  • เป็นการสอนที่เน้นปัญหาเป็นศูนย์กลาง (problem-centered)
  • เป็นวิธีสอนที่สนับสนุนแนวคิดแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
  • ผู้สอนต้องอาศัยความรู้เดิมและประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นพื้นฐานในการค้นหาความรู้
  • ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ไม่ใช่การเรียนโดยการท่องจำ
  • ผู้สอนไม่ใช่ผู้บอกความรู้ แต่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก
  • เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการค้นพบ (learning is discovery)ของผู้เรียนเอง ผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตจริงได้ในทุกสถานการณ์


เอกสารอ้างอิง