เทคนิคการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้
Contents
ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้
ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน และครูผู้สอนไว้มีดังนี้
ช่วยลดปัญหาในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะผู้เรียน
จุดประสงค์การเรียนรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนควรจะได้รับจากการเรียนรู้เป็นแผนที่ครูกำหนดขึ้นไว้ก่อนจัดการสอน แต่เมื่อครูได้จัดการเรียนรู้แล้วอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแสดงว่าได้เกิดปัญหาการเรียนรู้แล้ว หากครูยังไม่ได้คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ดังกล่าวนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน แต่ถ้าครูมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนในฐานะลูกศิษย์ และมีความสำนึกรับผิดชอบต่อคุณภาพของผู้เรียน แล้วคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะช่วยให้ปัญหาลดลงหรือหมดไป ผู้เรียนก็จะมีคุณภาพ การดำเนินงานของครูในลักษณะดังกล่าวถือว่าครูได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว ซึ่งช่วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อเติมเต็มศักยภาพให้นักเรียนมีทักษะชีวิต (Life Skills) , ทักษะในศตวรรษที่21 และ เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
ได้สื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน เป็นโอกาสที่ครูจะได้คิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ประเภทต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาผู้เรียน ถ้าวิธีการหรือนวัตกรรมดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพได้ถือว่าวิธีการหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อครูที่จะได้เรียนรู้ ดูเป็นแบบอย่าง และนำไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ การวิจัยนี้จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ได้สื่อ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู
มีฐานข้อมูลสาระสนเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียน
ในการวางแผนพัฒนาโรงเรียนต้องอาศัยข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนาโรงเรียนได้อย่างถูกทิศทาง ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องทำให้การวางแผนถูกต้อง ข้อมูลสารสนเทศที่ได้มาอย่างรวดเร็วทำให้โรงเรียนตัดสินใจได้เร็วไม่ล้าสมัย โรงเรียนจึงต้องมีฐานข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยระบบฐานข้อมูลสำคัญ 3 ฐาน ข้อมูลหลักคือ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการสอน และฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ (สุวิมล ว่องวานิช,2550) ฐานข้อมูลทั้ง 3 ส่วนได้มาจากครูนักวิจัยในโรงเรียนซึ่งครูส่วนหนึ่งเมื่อทำวิจัยแล้วอาจทำให้ได้ข้อมูลที่นำไปสู่ฐานข้อมูลการเรียนรู้ ในขณะที่งานวิจัยของครูอีกส่วนหนึ่งอาจนำไปสู่ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และครูบางคาทำวิจัยแล้วช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียนครูที่ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียนช่วยเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครู ครูที่ได้วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะทำให้ครูมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยครูได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครูมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559) ได้อ้างว่า การวิจัยปฏิบัติการหรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ช่วยให้ครูเห็นผลของการได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพ 3 ประการ คือ
- การวิจัยที่ครูทำช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานวิชาชีพของครูว่าปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามความคาดหวังที่ครูตั้งไว้หรือไม่
- การแลกเปลี่ยนความรู้จากงานวิจัยที่ได้ทำระหว่างครูนักวิจัย เพื่อนร่วมวิชาชีพ และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ครูเกิดการเรียนรู้และเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพที่สามารถประเมินการปฏิบัติงานของครู และปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติงานทางวิชาชีพของครูให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
- จากการที่ครูนักวิจัยได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้านงานวิจัย ครูสามารถกำหนดมาตรฐานหรือ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพงานของครูได้เอง โดยใช้มาตรฐานหรือเกณฑ์เดียวกับผู้อื่นใช้ตัดสินคุณภาพงานของครู และปรับให้เข้ากับวิธีการของผู้อื่นที่ได้จัดว่าเป็นการพัฒนาทางวิชาชีพครูและครูควรจะได้เรียนรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มีการเพิ่มพูนความรู้ ความก้าวหน้าทางวิชาชีพครู ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยเพื่อการเรียนรู้สำหรับเป็นฐานของการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างยั่งยืนต่อไป
ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้
1.ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้พิจารณาจากประเด็นสำคัญต่อไปนี้
- คำถามวิจัย (research question) คือข้อสงสัยที่ครูกำหนดขึ้นเพื่อต้องการหาคำตอบปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ ปัญหาวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมผู้เรียนที่ครูต้องหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะการเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่งๆ เรื่องที่ทำวิจัยเป็นประเด็นที่เล็ก มีลักษณะเฉพาะเจาะจงไม่จำเป็นที่ต้องเป็นประเด็นที่กว้างเหมือนการวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นที่มีความสำคัญ มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือการจัดการเรียนรู้ของครู
- ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย หมายถึงผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดที่มีปัญหาการเรียนรู้ซึ่งครูต้องการจะศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาให้มีคุณภาพ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะมุ้งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนบริบทของชั้นเรียน (classroom context) โดยที่เป้าหมายสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญหาหรือกลุ่มผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา
ดังนั้น ประชาการหรือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยอาจเป็นผู้เรียนหนึ่งคน หนึ่งกลุ่ม หนึ่งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นเพราะรายบุคคล รายกลุ่ม ทั้งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของครู ในบางกรณีการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่จำเป็นต้องสุ่มเลือกผู้เรียนมาเพื่อศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาเฉพาะบางส่วนแต่ควรที่จะศึกษา แก้ปัญหา
ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ลักษณะ คือ
- การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน
เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน (classroom survey) การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior analysis) และการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ เช่น
- ทำไมนักเรียนจึงไม่รักการอ่าน
- อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่รักการอ่าน
- เด็กชายปราโมทมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะสาเหตุใด
- ทำไมนักเรียนจึงสอบตกในรายวิชาคณิตศาสตร์มาก
- ทำไมนักเรียนจึงทำงานเป็นกลุ่มไม่เป็น
- ลักษณะพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนเป็นอย่างไร
- นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชา….เพียงใด
- มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ของนักเรียน
- การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน
เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research ) เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ เช่น
- จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไรจึงจะช่วยผู้เรียนรักการอ่าน
- ถ้าเลือกใช้ “กิจกรรมตามล่าหาความรู้” อาจกำหนดเป็นคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “กิจกรรมตามล่าหาความรู้” จะทำให้ผู้เรียนรักการอ่านได้หรือไม่
- จะใช้นวัตกรรมอะไรช่วยพัฒนาความสามารถในการเขียนเรียงความให้กับนักเรียน
- ถ้าเลือกใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความอาจกำหนดคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “การพัฒนานักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความจะช่วยให้นักเรียนสามารถเขียนเรียงความได้ดีขึ้นหรือไม่”
- การเรียนแบบร่วมมือจะช่วยทำให้นักเรียนมีทักษะการทำงานกลุ่มได้ดีขึ้นหรือไม่ ฯลฯ
2. วิธีดำเนินการวิจัย
ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีดังนี้
เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก มีความยืดหยุ่น ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ของผู้เรียน ชั้นเรียน และสถานศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ ในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร PAOR (Plan Act Observe Reflect) โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา ปฏิบัติการแก้ปัญหา สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา
ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration) ครูวิจัยมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ ต่อเพื่อนครู มีอิสระและมีความเสมอภาคทางความคิดในลักษณะของการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันและเป็นเครือข่ายการเรียนรู้และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกัน
ครูเป็นศูนย์กลางกระบวนการวิจัย โดยเป็นเจ้าของเรื่องเจ้าของปัญหาการเรียนรู้ มีบทบาทสำคัญในการแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมและปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จึงต้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยและใช้ผลการวิจัยเอง ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย ดำเนินการวิจัยควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ปกติ ในลักษณะสอนไปและทำการวิจัยไปด้วย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน
3. การนำผลวิจัยไปใช้
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปอ้างอิงถึงประชากรในวงกว้างหรือในชั้นเรียนอื่นๆ โดยทั่วไปเหมือนกับการวิจัยเชิงวิชาการ แต่มีจุดมุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนรายเฉพาะกลุ่มหรือทั้งห้องเรียนที่มีปัญหาการเรียนรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของครู เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วควรนำเสนอผลการวิจัยเผยแพร่ไปสู่เพื่อนครู สู่วงวิชาชีพครูและวงวิชาการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ทำให้ศาสตร์การจัดการเรียนรู้หรือศาสตร์การสอนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้สูงขึ้นอีกด้วย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในบริบททางการศึกษาในสถานศึกษาหรือในชั้นเรียนครู ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารการศึกษาที่มีบทบาททั้งการปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาและส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยของครู จะต้องนำผลวิจัยไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูหรือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ให้ทันต่อเหตุการณ์หรือสภาพปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
4. การรายงานผลการวิจัย
การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้ 3 ลักษณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ
- รูปแบบที่ 1 รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ (แบบลูกทุ่ง) เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ เพียง 1-2 หน้า ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ *รูปแบบที่ 2 รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ (แบบลูกกรุง) เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1 โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น นำเสนอสาระเนื้อหา 7-8 ประเด็นมีจำนวนประมาณ 8-10 หน้า *รูปแบบที่ 3 รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ (แบบสากล) เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ (academic report) ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป
จุดเริ่มต้นของการวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือการจัดการเรียนรู้ของครู และครูมีความคิด จิตใจ มีความห่วงใย และมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนหรือลูกศิษย์ จึงหาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อยู่ที่ครูเป็นสำคัญ คือครูที่มีความคิดและจิตใจ เห็นว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด เพราะปัญหาการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา หากครูไม่สนใจต่อปัญหาการเรียนรู้เหล่านั้นก็จะไม่เกิดการคิดแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มักจะมีคำถามต่อไปนี้ กล่าวคือ
- ทำไมผู้เรียนจึงไม่สนใจเรียน
- ผู้เรียนไม่รักการอ่าน เพราเหตุใด
- ผู้เรียนเขียนภาษาไทยผิดพลาดมากในลักษณะใดบ้าง
- จะทำอย่างไร จะใช้วิธีการสอนแบบใดหรือจะใช้นวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้ผู้เรียนสนใจเรียน รักการอ่าน เขียนภาษาไทยถูกต้องหรือมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น
- จะทำอย่างไร จะจัดการเรียนรู้อย่างไร หรือจะใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะ มีเจตคติที่ดี หรือมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตรหรือมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
คำถามข้อ (1)-(3) เป็นคำถามเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้เรียน
คำถาม (4)-(5) เป็นคำถามที่มุ่งไปสู่การปฏิบัติเพื่อการแก้ไขการพัฒนาหรือช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพ
คำถามทั้งข้อ (1)-(5) เรียกว่าเป็นคำถามวิจัย (research question) เพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบ การปฏิบัติการแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียน ดังนั้น หากครูผู้สอนพบปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้วตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวและเริ่มแสวงหาคำตอบ หาวิธีการแก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ถือได้ว่าครูได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว
ความแตกต่างระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการวิจัยเชิงวิชาการ
ประเด็นที่มีความแตกต่างกันสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1.จุดเริ่มต้นของการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : เริ่มต้นจากสภาพปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือปัญหาการจัดการเรียนการสอนของครู และครูมีความคิดความปรารถนาดีที่จะแก้ปัญหาการเรียนรู้หรือปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเอง
การวิจัยเชิงพัฒนาการ : จุดเริ่มต้นของการวิจัยอาจมาจากนโยบายความต้องการของหน่วยงาน ความสนใจของนักวิจัยที่ต้องการศึกษา ค้นหาคำตอบในประเด็นที่ต้องนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนา
2. ปัญหาการวิจัย
การวิจัยเพื่อการเรียนรู้ : ปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนและปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียน เป็นประเด็นปัญหาที่เล็กแต่มีความสำคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนการสอนตามหลักสูตรและมาตรฐานการเรียนรู้
การวิจัยเชิงวิชาการ : เป็นปัญหาในวงกว้างทางการศึกษาที่อาจเป็นปัญหาเชิงนโยบายการศึกษาหลักสูตร การบริหารการศึกษา ฯลฯ
3. วัตถุประสงค์/เป้าหมายของการวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : เพื่อแก้ปัญหา/พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและปรับปรุง/พัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู
การวิจัยเชิงวิชาการ : เพื่อสร้างองค์ความรู้ ข้อความรู้ทั่วไปซึ่งสามารถสรุปอ้างอิงในประชากรระดับกว้างได้
4. ผู้วิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ดำเนินการโดยครูผู้สอนที่รับผิดชอบในแต่ละรายวิชา การวิจัยเชิงวิชาการ :ดำเนินการโดยนักวิชาการหรือนักการศึกษาที่ไม่ได้ปฏิบัติงานการสอน
5. ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : มุ่งศึกษาผู้เรียนที่เรียนในแต่ละรายวิชาที่มีปัญหาการเรียนรู้ ปัญหาการจัดการเรียนการสอนซึ่งอาจ เป็นรายบุคคล รายกลุ่ม รายห้องเรียน หรือทั้งระดับชั้นเรียนที่ครูนักวิจัยมีส่วนรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอน
การวิจัยเชิงวิชาการ : กลุ่มนักเรียน หรือกลุ่มครูบุคลากรทางการศึกษา หรือกลุ่มเป้าหมายอื่นที่เป็นตัวแทนประชากรที่ผู้วิจัยเลือกมาศึกษา
6. ช่วงเวลาในการทำวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : โดยครูนักวิจัยทำวิจัยควบคู่กับกับการเรียนการสอนหรือให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอน เพื่อให้ทันต่อการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาในการทำวิจัยไม่มากนัก
การวิจัยเชิงวิชาการ : โดยนักวิจัยภายนอกทำวิจัยเมื่อมีปัญหาทางการศึกษาหรือมีความต้องการที่จะศึกษาหาคำตอบใน ประเด็นที่สนใจ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนหรือประเด็นปัญหาอื่น อาจใช้เวลาในการทำวิจัยนานกว่าการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
7. กระบวนการวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการวงจร PAOR ที่เป็นวงจรเดียวกับการปฏิบัติงานตามปกติโดย เริ่มจากวงจรเล็กๆ ของการวางแผน (Plan) การปฏิบัติ (Act) การสังเกต(Observe) และการสะท้อนผล(Reflect) ที่นำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนเป็นวงจรอย่างต่อเนื่อง
การวิจัยเชิงวิชาการ : ใช้กระบวนการวิจัยโดยกำหนดปัญหาศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ออกแบบการวิจัย (โดยกำหนด ประชากร กลุ่มตัวอย่าง สร้างเครื่องมือ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล) และนำเสนอผลการวิจัย
8. วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ไม่เน้นการกำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎีไม่เน้นแบบแผนการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่เคร่งครัด
การวิจัยเชิงวิชาการ. : มีการกำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี และพัฒนาทฤษฎี ยึดแบบแผนการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่รัดกุม
9. การกำหนดวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอน
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : โดยอาศัยประสบการณ์ของครูนักวิจัยการเรียนรู้จากกรณีตัวอย่าง ของเพื่อนครู หรือการศึกษาค้นหาวิธีการ / นวัตกรรมจากแหล่งความรู้ต่างๆแล้วนำมาทดลองใช้และตรวจสอบผล การวิจัยเชิงวิชาการ ศึกษาทฤษฎีหรือผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
10. การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ครูเป็นผู้เก็บข้อมูล โดยใช้วิธีการสังเกตหลักฐานการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียน การทดสอบ ประเมินความรู้ ทักษะผู้เรียน
การวิจัยเชิงวิชาการ : ผู้วิจัยเป็นผู้เก็บข้อมูลโดยอาจใช้วิธีการที่หลากหลาย ทั้งแบบสอบถาม แบบทดสอบ การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม
11. การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์ด้วยสิติขั้นพื้นฐาน ไม่เน้นการวิเคราะห์ด้วยสถิติสูง
การวิจัยเชิงวิชาการ : ส่วนใหญ่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสถิติขั้นพื้นฐานและสถิติขั้นสูงเน้นการสรุปอ้างอิง
12. การเขียนรายงานการวิจัย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ครูนำเสนอผลการวิจัยให้เป็นหลักฐานการปฏิบัติงานในวิชาชีพครู โดยไม่เน้นรูปแบบรายงาน แต่มุ่งนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน
การวิจัยเชิงวิชาการ : มีรูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยที่เป็นทางการให้มีคุณภาพมาตรฐานทางวิชาการ
13. การนำผลการวิจัยไปใช้
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : นำผลไปใช้แก้ปัญหา พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน และปรับปรุง พัฒนา การเรียนการสอนของครูในแต่ละรายวิชา ไม่มุ่งนำผลไปใช้ในวงกว้างหรือไม่เน้นการสรุปอ้างอิง และตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิชาการ
การวิจัยเชิงวิชาการ : ผลการวิจัยอาจไม่ได้นำไปใช้ในทางปฏิบัติจริง แต่อาจมีการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิจัยหรือบทความทางวิชาการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการและวงการวิชาชีพ