Difference between revisions of "เทคนิคการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้"

From Knowledge sharing space
Jump to: navigation, search
(จุดเริ่มต้นของการวิจัย)
(ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้)
Line 27: Line 27:
  
 
== ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ==
 
== ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ==
 +
 +
1.'''ขอบเขตของการวิจัย''' 
 +
 +
ขอบเขตของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้พิจารณาจากประเด็นสำคัญต่อไปนี้
 +
 +
*คำถามวิจัย  (research question) คือข้อสงสัยที่ครูกำหนดขึ้นเพื่อต้องการหาคำตอบปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้  ปัญหาวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมผู้เรียนที่ครูต้องหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะการเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่งๆ  เรื่องที่ทำวิจัยเป็นประเด็นที่เล็ก  มีลักษณะเฉพาะเจาะจงไม่จำเป็นที่ต้องเป็นประเด็นที่กว้างเหมือนการวิจัยทางวิชาการ  แต่เป็นที่มีความสำคัญ  มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือการจัดการเรียนรู้ของครู
 +
 +
*ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย หมายถึงผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดที่มีปัญหาการเรียนรู้ซึ่งครูต้องการจะศึกษา  แก้ปัญหา  หรือพัฒนาให้มีคุณภาพ  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้''จะมุ้งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน  กระบวนการจัดการเรียนรู้  ตลอดจนบริบทของชั้นเรียน (classroom  context)'' ''โดยที่เป้าหมายสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญหาหรือกลุ่มผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา'' 
 +
 +
ดังนั้น  ประชาการหรือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยอาจเป็น'''ผู้เรียนหนึ่งคน  หนึ่งกลุ่ม  หนึ่งห้องเรียน  หรือหลายห้องเรียน  ทั้งนี้  ขึ้นอยู่กับปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นเพราะรายบุคคล  รายกลุ่ม  ทั้งห้องเรียน  หรือหลายห้องเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของครู  ในบางกรณีการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่จำเป็นต้องสุ่มเลือกผู้เรียนมาเพื่อศึกษา  แก้ปัญหา  หรือพัฒนาเฉพาะบางส่วนแต่ควรที่จะศึกษา  แก้ปัญหา''' 
 +
 +
ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  ประกอบด้วย 2 ลักษณะ  คือ
 +
*การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน 
 +
เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน  สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน  ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน  (classroom  survey)  การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior  analysis)  และการศึกษาเฉพาะกรณี  (case  study)  การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory  research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา  (descriptive  research)  ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ  เช่น
 +
:  ทำไมนักเรียนจึงไม่รักการอ่าน
 +
:  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่รักการอ่าน
 +
:  เด็กชายปราโมทมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะสาเหตุใด
 +
:  ทำไมนักเรียนจึงสอบตกในรายวิชาคณิตศาสตร์มาก
 +
:  ทำไมนักเรียนจึงทำงานเป็นกลุ่มไม่เป็น
 +
:  '''Bold text''' ลักษณะพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนเป็นอย่างไร
 +
:  นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชา….เพียงใด
 +
:  มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ของนักเรียน 
 +
                               
 +
*การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน
 +
เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ  นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research )  เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ  เช่น
 +
:  จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไรจึงจะช่วยผู้เรียนรักการอ่าน
 +
:  ถ้าเลือกใช้  “กิจกรรมตามล่าหาความรู้”  อาจกำหนดเป็นคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า  “กิจกรรมตามล่าหาความรู้”  จะทำให้ผู้เรียนรักการอ่านได้หรือไม่
 +
:  จะใช้นวัตกรรมอะไรช่วยพัฒนาความสามารถในการเขียนเรียงความให้กับนักเรียน
 +
:  ถ้าเลือกใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความอาจกำหนดคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “การพัฒนานักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความจะช่วยให้นักเรียนสามารถเขียนเรียงความได้ดีขึ้นหรือไม่”
 +
:  การเรียนแบบร่วมมือจะช่วยทำให้นักเรียนมีทักษะการทำงานกลุ่มได้ดีขึ้นหรือไม่ ฯลฯ
 +
 +
2. '''วิธีดำเนินการวิจัย'''
 +
 +
ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  มีดังนี้
 +
 +
เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก  มีความยืดหยุ่น  ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ  ของผู้เรียน  ชั้นเรียน  และสถานศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ  ในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร  PAOR (Plan Act Observe Reflect)  โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา  ปฏิบัติการแก้ปัญหา  สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา  และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา
 +
 +
 +
ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration)  ครูวิจัยมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์  ต่อเพื่อนครู  มีอิสระและมีความเสมอภาคทางความคิดในลักษณะของการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันและเป็นเครือข่ายการเรียนรู้และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกัน
 +
 +
ครูเป็นศูนย์กลางกระบวนการวิจัย  โดยเป็นเจ้าของเรื่องเจ้าของปัญหาการเรียนรู้  มีบทบาทสำคัญในการแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมและปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  จึงต้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยและใช้ผลการวิจัยเอง  ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย
 +
ดำเนินการวิจัยควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ปกติ  ในลักษณะสอนไปและทำการวิจัยไปด้วย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน
 +
 +
3. การนำผลวิจัยไปใช้
 +
 +
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปอ้างอิงถึงประชากรในวงกว้างหรือในชั้นเรียนอื่นๆ  โดยทั่วไปเหมือนกับการวิจัยเชิงวิชาการ  ''แต่มีจุดมุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนรายเฉพาะกลุ่มหรือทั้งห้องเรียนที่มีปัญหาการเรียนรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของครู  เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วควรนำเสนอผลการวิจัยเผยแพร่ไปสู่เพื่อนครู  สู่วงวิชาชีพครูและวงวิชาการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนรู้''  ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ทำให้ศาสตร์การจัดการเรียนรู้หรือศาสตร์การสอนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้สูงขึ้นอีกด้วย
 +
 +
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในบริบททางการศึกษาในสถานศึกษาหรือในชั้นเรียนครู  ผู้บริหารการศึกษา  และผู้บริหารการศึกษาที่มีบทบาททั้งการปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาและส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยของครู  จะต้องนำผลวิจัยไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูหรือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ให้ทันต่อเหตุการณ์หรือสภาพปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
 +
 +
4. การรายงานผลการวิจัย
 +
 +
การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย  อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้  3  ลักษณะ  ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ 
 +
 +
*รูปแบบที่  1  รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ  (แบบลูกทุ่ง)  เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ  นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ  เพียง 1-2  หน้า  ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน  หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ  *รูปแบบที่ 2  รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ  (แบบลูกกรุง)  เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1  โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น  นำเสนอสาระเนื้อหา  7-8  ประเด็นมีจำนวนประมาณ  8-10 หน้า  *รูปแบบที่ 3  รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ  (แบบสากล)  เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด  ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ  (academic  report)  ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป
  
 
== จุดเริ่มต้นของการวิจัย ==
 
== จุดเริ่มต้นของการวิจัย ==

Revision as of 13:33, 17 October 2018

ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้

ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน และครูผู้สอนไว้มีดังนี้

ช่วยลดปัญหาในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะผู้เรียน

ในการจัดการเรียนรู้ครูต้องกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้ เมื่อครูได้จัดการเรียนรู้แล้วอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแสดงว่าได้เกิดปัญหาการเรียนรู้แล้ว ปัญหาการเรียนรู้ดังกล่าวนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน หากครูยังไม่ได้คิดหาวิธีการแก้ไข แต่ถ้าครูมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนในฐานะลูกศิษย์ และมีความสำนึกรับผิดชอบต่อคุณภาพของผู้เรียน แล้วคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะช่วยให้ปัญหาลดลงหรือหมดไป ผู้เรียนก็จะมีคุณภาพ การดำเนินงานของครูในลักษณะดังกล่าวถือว่าครูได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว ซึ่งช่วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อเติมเต็มศักยภาพให้นักเรียนมีทักษะในศตวรรษที่21 เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้

Maker14.jpg
Maker15.jpg

ได้สื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน ครูได้มีโอกาสคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ประเภทต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาผู้เรียน ถ้าวิธีการหรือนวัตกรรมดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพได้ถือว่าวิธีการหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อครูที่จะได้เรียนรู้ ดูเป็นแบบอย่าง และนำไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ การวิจัยนี้จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ได้สื่อ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู (พิชิต ฤทธิ์จรูญ ,2559)

มีฐานข้อมูลสาระสนเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียน

ในการวางแผนพัฒนาโรงเรียนต้องอาศัยข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนาโรงเรียนได้อย่างถูกทิศทาง ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องทำให้การวางแผนถูกต้อง ข้อมูลสารสนเทศที่ได้มาอย่างรวดเร็วทำให้โรงเรียนตัดสินใจได้เร็วไม่ล้าสมัย โรงเรียนจึงต้องมีฐานข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยระบบฐานข้อมูลสำคัญ 3 ฐาน ข้อมูลหลักคือ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการสอน และฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ (สุวิมล ว่องวานิช,2550) ฐานข้อมูลทั้ง 3 ส่วนได้มาจากครูนักวิจัยในโรงเรียนซึ่งครูส่วนหนึ่งเมื่อทำวิจัยแล้วอาจทำให้ได้ข้อมูลที่นำไปสู่ฐานข้อมูลการเรียนรู้ ในขณะที่งานวิจัยของครูอีกส่วนหนึ่งอาจนำไปสู่ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และครูบางคาทำวิจัยแล้วช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียนครูที่ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียนช่วยเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครู ครูที่ได้วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะทำให้ครูมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยครูได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครูมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559) ได้อ้างว่า การวิจัยปฏิบัติการหรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ช่วยให้ครูเห็นผลของการได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพ 3 ประการ คือ

  • การวิจัยที่ครูทำช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานวิชาชีพของครูว่าปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามความคาดหวังที่ครูตั้งไว้หรือไม่
  • การแลกเปลี่ยนความรู้จากงานวิจัยที่ได้ทำระหว่างครูนักวิจัย เพื่อนร่วมวิชาชีพ และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ครูเกิดการเรียนรู้และเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพที่สามารถประเมินการปฏิบัติงานของครู และปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติงานทางวิชาชีพของครูให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  • จากการที่ครูนักวิจัยได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้านงานวิจัย ครูสามารถกำหนดมาตรฐานหรือ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพงานของครูได้เอง โดยใช้มาตรฐานหรือเกณฑ์เดียวกับผู้อื่นใช้ตัดสินคุณภาพงานของครู และปรับให้เข้ากับวิธีการของผู้อื่นที่ได้จัดว่าเป็นการพัฒนาทางวิชาชีพครูและครูควรจะได้เรียนรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มีการเพิ่มพูนความรู้ ความก้าวหน้าทางวิชาชีพครู ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยเพื่อการเรียนรู้สำหรับเป็นฐานของการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างยั่งยืนต่อไป

ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้

1.ขอบเขตของการวิจัย

ขอบเขตของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้พิจารณาจากประเด็นสำคัญต่อไปนี้

  • คำถามวิจัย (research question) คือข้อสงสัยที่ครูกำหนดขึ้นเพื่อต้องการหาคำตอบปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ ปัญหาวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมผู้เรียนที่ครูต้องหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะการเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่งๆ เรื่องที่ทำวิจัยเป็นประเด็นที่เล็ก มีลักษณะเฉพาะเจาะจงไม่จำเป็นที่ต้องเป็นประเด็นที่กว้างเหมือนการวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นที่มีความสำคัญ มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือการจัดการเรียนรู้ของครู
  • ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย หมายถึงผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดที่มีปัญหาการเรียนรู้ซึ่งครูต้องการจะศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาให้มีคุณภาพ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะมุ้งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนบริบทของชั้นเรียน (classroom context) โดยที่เป้าหมายสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญหาหรือกลุ่มผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา

ดังนั้น ประชาการหรือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยอาจเป็นผู้เรียนหนึ่งคน หนึ่งกลุ่ม หนึ่งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นเพราะรายบุคคล รายกลุ่ม ทั้งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของครู ในบางกรณีการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่จำเป็นต้องสุ่มเลือกผู้เรียนมาเพื่อศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาเฉพาะบางส่วนแต่ควรที่จะศึกษา แก้ปัญหา

ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ลักษณะ คือ

  • การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน

เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน (classroom survey) การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior analysis) และการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ เช่น

ทำไมนักเรียนจึงไม่รักการอ่าน
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่รักการอ่าน
เด็กชายปราโมทมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะสาเหตุใด
ทำไมนักเรียนจึงสอบตกในรายวิชาคณิตศาสตร์มาก
ทำไมนักเรียนจึงทำงานเป็นกลุ่มไม่เป็น
Bold text ลักษณะพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนเป็นอย่างไร
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชา….เพียงใด
มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ของนักเรียน
  • การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน

เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research ) เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ เช่น

จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไรจึงจะช่วยผู้เรียนรักการอ่าน
ถ้าเลือกใช้ “กิจกรรมตามล่าหาความรู้” อาจกำหนดเป็นคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “กิจกรรมตามล่าหาความรู้” จะทำให้ผู้เรียนรักการอ่านได้หรือไม่
จะใช้นวัตกรรมอะไรช่วยพัฒนาความสามารถในการเขียนเรียงความให้กับนักเรียน
ถ้าเลือกใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความอาจกำหนดคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “การพัฒนานักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความจะช่วยให้นักเรียนสามารถเขียนเรียงความได้ดีขึ้นหรือไม่”
การเรียนแบบร่วมมือจะช่วยทำให้นักเรียนมีทักษะการทำงานกลุ่มได้ดีขึ้นหรือไม่ ฯลฯ

2. วิธีดำเนินการวิจัย

ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีดังนี้

เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก มีความยืดหยุ่น ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ของผู้เรียน ชั้นเรียน และสถานศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ ในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร PAOR (Plan Act Observe Reflect) โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา ปฏิบัติการแก้ปัญหา สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา


ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration) ครูวิจัยมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ ต่อเพื่อนครู มีอิสระและมีความเสมอภาคทางความคิดในลักษณะของการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันและเป็นเครือข่ายการเรียนรู้และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกัน

ครูเป็นศูนย์กลางกระบวนการวิจัย โดยเป็นเจ้าของเรื่องเจ้าของปัญหาการเรียนรู้ มีบทบาทสำคัญในการแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมและปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จึงต้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยและใช้ผลการวิจัยเอง ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย ดำเนินการวิจัยควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ปกติ ในลักษณะสอนไปและทำการวิจัยไปด้วย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน

3. การนำผลวิจัยไปใช้

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปอ้างอิงถึงประชากรในวงกว้างหรือในชั้นเรียนอื่นๆ โดยทั่วไปเหมือนกับการวิจัยเชิงวิชาการ แต่มีจุดมุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนรายเฉพาะกลุ่มหรือทั้งห้องเรียนที่มีปัญหาการเรียนรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของครู เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วควรนำเสนอผลการวิจัยเผยแพร่ไปสู่เพื่อนครู สู่วงวิชาชีพครูและวงวิชาการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ทำให้ศาสตร์การจัดการเรียนรู้หรือศาสตร์การสอนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้สูงขึ้นอีกด้วย

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในบริบททางการศึกษาในสถานศึกษาหรือในชั้นเรียนครู ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารการศึกษาที่มีบทบาททั้งการปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาและส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยของครู จะต้องนำผลวิจัยไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูหรือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ให้ทันต่อเหตุการณ์หรือสภาพปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

4. การรายงานผลการวิจัย

การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้ 3 ลักษณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ

  • รูปแบบที่ 1 รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ (แบบลูกทุ่ง) เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ เพียง 1-2 หน้า ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ *รูปแบบที่ 2 รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ (แบบลูกกรุง) เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1 โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น นำเสนอสาระเนื้อหา 7-8 ประเด็นมีจำนวนประมาณ 8-10 หน้า *รูปแบบที่ 3 รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ (แบบสากล) เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ (academic report) ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป

จุดเริ่มต้นของการวิจัย

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือการจัดการเรียนรู้ของครู และครูมีความคิด จิตใจ มีความห่วงใย และมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนหรือลูกศิษย์ จึงหาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อยู่ที่ครูเป็นสำคัญ คือครูที่มีความคิดและจิตใจ เห็นว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด เพราะปัญหาการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา หากครูไม่สนใจต่อปัญหาการเรียนรู้เหล่านั้นก็จะไม่เกิดการคิดแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าครูมีความรักความเมตตาต่อผู้เรียน อยากเห็นผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข ครูก็ต้องแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาการเรียนรู้ ช่วยเหลือและพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถเต็มศักยภาพ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็เกิดขึ้นด้วยเหตุเพราะ “ความคิดและจิตใจของครู” ที่มีความปรารถนาดีต่อผู้เรียน ต่อผู้ปกครอง ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยภาพรวมผู้เขียนมีความเชื่อและเห็นว่าหารวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ 2542 มาตรา 30 ที่ให้สถานศึกษาพัฒนาการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา แล้วครูจึงต้องทำการวิจัยแต่เห็นว่าครูต้องทำการวิจัยด้วย “ใจ หรือการมีจิตวิจัย” ที่ต้องการช่วยเหลือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ ครูที่มีความเป็นกัลยาณมิตรต่อผู้เรียนและมีแนวโน้มที่จะทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มักจะมีคำถามต่อไปนี้อยู่ในความคิดและจิตใจอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ

ทำไมผู้เรียนจึงไม่สนใจเรียน

ผู้เรียนไม่รักการอ่าน เพราเหตุใด ผู้เรียนเขียนภาษาไทยผิดพลาดมากในลักษณะใดบ้าง จะทำอย่างไร จะใช้วิธีการสอนแบบใดหรือจะใช้นวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้ผู้เรียนสนใจเรียน รักการอ่าน เขียนภาษาไทยถูกต้องหรือมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น จะทำอย่างไร จะจัดการเรียนรู้อย่างไร หรือจะใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะ มีเจตคติที่ดี หรือมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตรหรือมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ คำถามข้อ (1)-(3) เป็นคำถามเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ ผู้เรียน คำถาม (4)-(5) เป็นคำถามที่มุ่งไปสู่การปฏิบัติเพื่อการแก้ไขการพัฒนาหรือช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพ คำถามทั้งข้อ (1)-(5) เรียกว่าเป็นคำถามวิจัย (research question) เพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบ การปฏิบัติการแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียน ดังนั้น หากครูผู้สอนพบปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้วตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวและเริ่มแสวงหาคำตอบ หาวิธีการแก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ถือได้ว่าครูได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว

ความแตกต่างระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการวิจัยเชิงวิชาการ