Difference between revisions of "การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-Based Learning)"
(→บทบาทของนักเรียน) |
|||
Line 44: | Line 44: | ||
== บทบาทของนักเรียน == | == บทบาทของนักเรียน == | ||
+ | |||
+ | == เอกสารอ้างอิง == | ||
+ | |||
+ | วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา. (2560). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ STEM Education(สะเต็มศึกษา). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. |
Revision as of 14:26, 29 August 2018
การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนได้พัฒนาการวิจัยการคิดเชิงวิพากษ์และทักษะการแก้ปัญหาแทนการท่องจำคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ล่วงหน้าผ่านการท้าทายด้วยปัญหา การตั้งคำถาม หรือ สถานการณ์จำลอง
Contents
ความหมายและแนวคิดเกี่ยวกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มีผู้ให้ความหมายและแนวคิดหลากหลาย ดังนี้
วศินีส์ (2560) กล่าวถึงคือ กิจกรรมหรือสิ่งที่มนุษย์ทำหรือกระบวนการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ การทดลองหรือทดสอบในภาวะต่างๆ เพื่อสาธิตในสิ่งที่รู้หรือการค้นหาสิ่งที่ไม่รู้การสืบค้นหรือการศึกษาจากการใช้คำถามทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นตอน
สมจิต สวธนไพบูลย์ (2541) กล่าวว่า หลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ส่วนครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกแนะนำและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ ได้แก่ การสำรวจ และการสร้างองค์ความรู้
มนมนัส สุดสิ้น (2543) สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการหนึ่งที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ คิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีระบบของการคิด ใช้กระบวนการของการค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งประกอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ครูมีหน้าที่จัดบรรยากาศ การสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ คิดแก้ปัญหาโดยใช้การทดลอง และอภิปรายซักถามเป็นกิจกรรมหลักในการสอน
ชลสีต์ จันทาสี (2543) สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ ซึ่งครูมีหน้าที่เพียงเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ จัดเตรียมสภาพการณ์และกิจกรรมให้เอื้อต่อกระบวนการที่ฝึกให้คิดหาเหตุผล สืบเสาะหาความรู้ รวมทั้งการแก้ปัญหาให้ได้โดยใช้คำถามและสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เช่น ของจริง สถานการณ์ ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการสำรวจ ค้นหาด้วยตนเอง บรรยากาศการเรียนการสอนให้นักเรียนมีอิสระในการซักถาม การอภิปรายและมีแรงเสริม อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสอนให้นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้นั่นเอง
กู๊ด (Good. 1973) ได้ให้ความหมายของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นเทคนิคหรือกลวิธีอย่างหนึ่งในการจัดให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างของวิชาวิทยาศาสตร์ โดยกระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้โดยการถามคำถาม และพยายามค้นหาคำตอบให้พบด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นวิธีการเรียนโดยการแก้ปัญหาจากกิจกรรมที่จัดขึ้น และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการทำกิจกรรม ซึ่งปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่นักเรียนเผชิญแต่ละครั้ง จะเป็นตัวกระตุ้นการคิดกับการสังเกตกับสิ่งที่สรุปพาดพิงอย่างชัดเจน ประดิษฐ์ คิดค้น ตีความหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด การใช้วิธีการอย่างชาญฉลาดสามารถทดสอบได้ และสรุปอย่างมีเหตุผล
ซันด์และโทรวบริดจ์ (Sun and Trowbridge. 1973) สรุปลักษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ว่า เป็นการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สร้างมโนทัศน์ด้วยตนเอง และเป็นการพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ ของนักเรียน เช่น ความสามารถทางวิธีการ ทักษะทางสังคม ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องให้อิสระและให้ผู้เรียนมีโอกาสคิด และเป็นการเรียนที่เน้นการทดลอง เพื่อให้ผู้เรียน ค้นพบด้วยตนเอง และการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้จะกำหนดเวลาสำหรับการเรียนรู้
ซานดรา เค เอเบล (Sandra K. Abell. 2002) ได้กล่าวถึงความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ตามที่ NSES และ AAAS นิยามไว้ ดังนี้
NSES (National Science Education Standards) ได้ให้ความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นกิจกรรมที่หลากหลายเกี่ยวกับการสังเกต การถามคำถาม การสำรวจตรวจสอบจากเอกสารและแหล่งความรู้อื่น ๆ การวางแผนการสำรวจตรวจสอบ การทดสอบตรวจสอบหลักฐานเพื่อเป็นการยืนยันความรู้ที่ได้ค้นพบมาแล้ว การใช้เครื่องมือในการรวบรวม การวิเคราะห์ และการแปลความหมายข้อมูล การนำเสนอผลงาน การอธิบายและการคาดคะเน และการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับผลงานที่ได้
AAAS (American Association for the Advancement of Science) ได้ให้ความหมายการสืบเสาะหาความรู้ว่า เริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติพร้อมทั้งกระตุ้นนักเรียนให้ตื่นเต้นสงสัยใคร่รู้ให้นักเรียนตั้งใจรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน ครูเตรียมข้อมูลเอกสารความรู้ต่างๆ ที่มีคนศึกษาค้นคว้ามาแล้ว เพื่อให้นักเรียนเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ หรือเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนลึกซึ้งขึ้นให้นักเรียนอธิบายให้ชัดเจน ไม่เน้นความจำเกี่ยวกับศัพท์ทางวิชาการ และใช้กระบวนการกลุ่ม
5 ขั้นตอนสำคัญของกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry process) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติ และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ มีพื้นฐานจากทฤษฎี Constructivist โดยเจอร์รูม บรูนเนอร์ ไวก็อตสกี และเพียเจต์ เป็นกระบวนการที่นิยมใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งเป็นขั้นๆ ได้แก่
- การสร้างความสนใจ (Engage) ก่อนที่นักเรียนจะเรียน ครูจะนำเข้าสู่บทเรียนในเรื่องที่เรียนหรือเรื่องที่นักเรียนให้ความสนใจ โดยใช้คำถาม ให้ดูรูปภาพ ภาพยนตร์สั้นๆ การสาธิตทดลอง การเล่าเรื่องจริง การใช้เพลงประกอบ หรือการทำผังความคิดรวบยอดโดยให้นักเรียนช่วยกันคิด
- การสำรวจค้นหา (Explore) ครูให้เด็กเรียนรู้จากการทำกิจกรรมที่ลงมือทำ หรือการแก้ไขปัญหา อาจใช้การทดลองออกแบบในการค้นหา โดยเชื่อมโยงกับความคิดรวบยอด ส่วนใหญ่เด็กมักทำงานเป็นกลุ่ม เด็กแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างการทดลอง มีการวางแผนงาน ลงมือทำกิจกรรม และรวบรวมข้อมูลโดยครูเป็นผู้อำนวยงามสะดวกจัดหาอุปกรณ์ที่เด็กต้องการและให้คำแนะนำเด็ก
- การอธิบายผล (Explain) ในขั้นการอธิบายผล เช่นการเรียนรู้เรื่องคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ครูจะเป็นผู้นำในการสอนมากกว่าเด็ก ครูสอนโดยการให้เด็กอ่านหนังสือ ฟังและดูหนังสั้นๆ สนทนา อภิปรายผล ครูใช้หนังสือ ภาพยนตร์ หรือ Website เป็นแหล่งหาข้อมูลให้กับเด็ก โดยครูจะช่วยนักเรียนในการสังเกตวิเคราะห์ ให้คำจำกัดความคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ อธิบายขยายความคิดรวบยอดและทักษะให้กับนักเรียน นักเรียนเป็นผู้สาธิตอภิปรายว่ามีความเข้าใจในความคิดรวบยอดกระบวนการทักษะอย่างไร จากการเขียน การสะท้อนความคิดในการเขียนและอภิปรายผลในห้องเรียน
- การขยายความรู้ (Elaborate of Extend) ในขั้นนี้เด็กต้องให้คำจำกัดความจากความคิดรวบยอดและตามแนวความคิดของเด็กตามความเป็นจริงที่เด็กได้ค้นพบ โดยครูจะเพิ่มกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับเด็ก ครูอาจเพิ่มความรู้ให้กับเด็กโดยให้เด็กทำกิจกรรมทั้งชั้นเรียน เพื่อให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียนทั่วๆไป โดยการใช้เทคโนโลยีประกอบการสอน เช่น Website วิดีโอ ภาพ บทความ Online เพื่อให้เด็กเข้าใจมากขึ้น ขยายการนำไปใช้โดยให้นักเรียนอ่านหนังสือหรือให้นักเรียนสาธิตเพื่อจะได้รู้ว่านักเรียนเข้าใจแค่ไหน หรือการลงมือทำกิจกรรมโดยการใช้วัสดุอุปกรณ์ ขยายความรู้กลุ่มย่อย ครูจะใช้การเรียนรู้จากปัญหา (Problem-based learning) ให้เด็กแก้ไขปัญหาเป็นกลุ่มเล็กๆ ใช้การออกแบบสร้างสรรค์และแก้ปัญหาครูอาจให้เด็กทำการทดลองในห้องทดลองให้เข้าใจในหัวข้อที่เรียนอย่างลึกซึ้ง เพิ่มกิจกรรมโดยให้นักเรียนทำกิจกรรมเป็นรายบุคคล ทำโครงงานรายบุคคล ครูให้นักเรียนเลือกหัวข้อที่สนใจ จัดหาแหล่งข้อมูลให้ กำหนดแผนเวลาการทำงาน สนับสนุนการเรียนรู้ ตั้งเป้าหมาย และกำหนดเวลา
- การประเมิน เด็กมีการประเมินความเข้าใจในเนื้อหาของตนเอง ครูประเมินความก้าวหน้าในการทำงานของนักเรียนจากจุดมุ่งหมายในการเรียน โดยการประเมินผลแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ การประเมินในชั้นนี้ ได้แก่ การประเมินจากการระบวนการทำงานของเด็ก โดยการสังเกตของครู ประเมินผลจากการแก้ปัญหาของเด็กแต่ละคน ประเมินผลจากการทำโครงงาน และการให้เด็กประเมินตนเอง โดยครูควรตั้งเกณฑ์การให้คะแนนของเด็ก ครูสังเกตนักเรียนว่ามีความคิดหรือแนวคิดอย่างไร มีการประยุกต์ใช้ทักษะการเรียนรู้
การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการเรียนการสอนแบบหนึ่งที่สามารถนำมาประกอบในการจัดการเรียนการสอนแบบ STEM Education ได้ เป็นการสอนที่เหมาะกับการหาข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ต้องการคำตอบที่ลึกลงไปเหมาะกับเด็กระดับประถมศึกษาตอนปลายขึ้นไปและมัธยมศึกษาแต่ก็สามารถปรับให้เข้ากับเด็กเล็กได้ แต่ครูจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการบูรณาการวิธีการสอนให้เหมาะสม ครูจะต้องเป็นผู้กำหนดการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับความสามารถ วัย และความสนใจของผู้เรียน เนื้อหาและแผนการสอน ตัวชี้วัดและจุดประสงค์สอนโดยสรุปความคิดรวบยอดที่เด็กเข้าใจได้ง่าย เพราะเด็กเล็กๆยังมีประสบการณ์และองค์ความรู้น้อย ต้องการ เรียนรู้ในสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย การจัดการเรียนรู้แบบนี้ ไม่ได้เน้นในผลของชิ้นงานแต่เน้นคำตอบเป็นเชิงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาคำตอบอย่างลึกซึ้ง จึงเหมาะที่จะนำมาเป็นกระบวนการที่ต่อยอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการจัดการเรียนการสอนแบบ STEM
บทบาทของครู
บทบาทของนักเรียน
เอกสารอ้างอิง
วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยุธยา. (2560). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ STEM Education(สะเต็มศึกษา). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.