Difference between revisions of "เทคนิคการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้"

From Knowledge sharing space
Jump to: navigation, search
(ความแตกต่างระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการวิจัยเชิงวิชาการ)
(เอกสารอ้างอิง)
 
(10 intermediate revisions by the same user not shown)
Line 6: Line 6:
 
'''ช่วยลดปัญหาในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะผู้เรียน'''
 
'''ช่วยลดปัญหาในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะผู้เรียน'''
 
    
 
    
ในการจัดการเรียนรู้ครูต้องกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้  เมื่อครูได้จัดการเรียนรู้แล้วอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแสดงว่าได้เกิดปัญหาการเรียนรู้แล้ว ปัญหาการเรียนรู้ดังกล่าวนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน หากครูยังไม่ได้คิดหาวิธีการแก้ไข แต่ถ้าครูมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนในฐานะลูกศิษย์  และมีความสำนึกรับผิดชอบต่อคุณภาพของผู้เรียน  แล้วคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะช่วยให้ปัญหาลดลงหรือหมดไป  ผู้เรียนก็จะมีคุณภาพ  การดำเนินงานของครูในลักษณะดังกล่าวถือว่าครูได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว  ซึ่งช่วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อเติมเต็มศักยภาพให้นักเรียนมี[[ทักษะในศตวรรษที่21]] เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
+
จุดประสงค์การเรียนรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนควรจะได้รับจากการเรียนรู้เป็นแผนที่ครูกำหนดขึ้นไว้ก่อนจัดการสอน แต่เมื่อครูได้จัดการเรียนรู้แล้วอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแสดงว่าได้เกิดปัญหาการเรียนรู้แล้ว หากครูยังไม่ได้คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ดังกล่าวนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน แต่ถ้าครูมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนในฐานะลูกศิษย์  และมีความสำนึกรับผิดชอบต่อคุณภาพของผู้เรียน  แล้วคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะช่วยให้ปัญหาลดลงหรือหมดไป  ผู้เรียนก็จะมีคุณภาพ  การดำเนินงานของครูในลักษณะดังกล่าวถือว่าครูได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว  ซึ่งช่วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อเติมเต็มศักยภาพให้นักเรียนมี[[ทักษะชีวิต (Life Skills)]] , [[ทักษะในศตวรรษที่21]] และ เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
  
 
[[File:Maker14.jpg|500px|right]]
 
[[File:Maker14.jpg|500px|right]]
Line 14: Line 14:
 
'''ได้สื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้'''   
 
'''ได้สื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้'''   
  
ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน ครูได้มีโอกาสคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ประเภทต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาผู้เรียน  ถ้าวิธีการหรือนวัตกรรมดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพได้ถือว่าวิธีการหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อครูที่จะได้เรียนรู้  ดูเป็นแบบอย่าง  และนำไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้  การวิจัยนี้จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ได้สื่อ  นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู (พิชิต ฤทธิ์จรูญ ,2559)
+
ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน เป็นโอกาสที่ครูจะได้คิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ประเภทต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาผู้เรียน  ถ้าวิธีการหรือนวัตกรรมดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพได้ถือว่าวิธีการหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อครูที่จะได้เรียนรู้  ดูเป็นแบบอย่าง  และนำไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้  การวิจัยนี้จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ได้สื่อ  นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู
  
 
'''มีฐานข้อมูลสาระสนเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียน'''
 
'''มีฐานข้อมูลสาระสนเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียน'''
Line 40: Line 40:
 
ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  ประกอบด้วย 2 ลักษณะ  คือ
 
ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  ประกอบด้วย 2 ลักษณะ  คือ
 
*การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน   
 
*การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน   
เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน  สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน  ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน  (classroom  survey)  การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior  analysis)  และการศึกษาเฉพาะกรณี  (case  study)  การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory  research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา  (descriptive  research)  ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ  เช่น
+
เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน  สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน  ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน  (classroom  survey)  การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior  analysis)  และการศึกษาเฉพาะกรณี  (case  study)  การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory  research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา  (descriptive  research)   
:  ทำไมนักเรียนจึงไม่รักการอ่าน
+
:  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่รักการอ่าน
+
:  เด็กชายปราโมทมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะสาเหตุใด
+
:  ทำไมนักเรียนจึงสอบตกในรายวิชาคณิตศาสตร์มาก
+
:  ทำไมนักเรียนจึงทำงานเป็นกลุ่มไม่เป็น
+
:  ลักษณะพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนเป็นอย่างไร
+
:  นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชา….เพียงใด
+
:  มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งเสริมและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ของนักเรียน 
+
 
                                  
 
                                  
 
*การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน  
 
*การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน  
เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ  นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research )  เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ตัวอย่างคำถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคำตอบ  เช่น
+
เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ  นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research )  เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)  
:  จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไรจึงจะช่วยผู้เรียนรักการอ่าน
+
:  ถ้าเลือกใช้  “กิจกรรมตามล่าหาความรู้”  อาจกำหนดเป็นคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า  “กิจกรรมตามล่าหาความรู้”  จะทำให้ผู้เรียนรักการอ่านได้หรือไม่
+
:  จะใช้นวัตกรรมอะไรช่วยพัฒนาความสามารถในการเขียนเรียงความให้กับนักเรียน
+
:  ถ้าเลือกใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความอาจกำหนดคำถามวิจัยที่ชัดเจนได้ว่า “การพัฒนานักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเรียงความจะช่วยให้นักเรียนสามารถเขียนเรียงความได้ดีขึ้นหรือไม่”
+
:  การเรียนแบบร่วมมือจะช่วยทำให้นักเรียนมีทักษะการทำงานกลุ่มได้ดีขึ้นหรือไม่ ฯลฯ
+
  
 
2. '''วิธีดำเนินการวิจัย'''
 
2. '''วิธีดำเนินการวิจัย'''
Line 62: Line 49:
 
ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  มีดังนี้
 
ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  มีดังนี้
  
เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก  มีความยืดหยุ่น  ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ  ของผู้เรียน  ชั้นเรียน  และสถานศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ  ในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร  PAOR (Plan Act Observe Reflect) โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา  ปฏิบัติการแก้ปัญหา  สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา  และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา
+
* ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ (Mix Method)
  
 +
* เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก  มีความยืดหยุ่น  ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ  ของผู้เรียน  ชั้นเรียน  และสถานศึกษาใช้
  
ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration)   ครูวิจัยมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์  ต่อเพื่อนครู  มีอิสระและมีความเสมอภาคทางความคิดในลักษณะของการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันและเป็นเครือข่ายการเรียนรู้และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกัน
+
* เป็นในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร  PAOR (Plan Act Observe Reflect) โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา  ปฏิบัติการแก้ปัญหา  สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา  และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา
  
ครูเป็นศูนย์กลางกระบวนการวิจัย  โดยเป็นเจ้าของเรื่องเจ้าของปัญหาการเรียนรู้  มีบทบาทสำคัญในการแสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมและปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  จึงต้องเป็นผู้ดำเนินการวิจัยและใช้ผลการวิจัยเอง ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย
+
* ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration) ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน
ดำเนินการวิจัยควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ปกติ  ในลักษณะสอนไปและทำการวิจัยไปด้วย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน
+
  
 
3. การนำผลวิจัยไปใช้
 
3. การนำผลวิจัยไปใช้
Line 80: Line 67:
 
การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย  อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้  3  ลักษณะ  ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ   
 
การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย  อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้  3  ลักษณะ  ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ   
  
*รูปแบบที่  1  รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ (แบบลูกทุ่ง) เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ  นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ  เพียง 1-2  หน้า  ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน  หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ  *รูปแบบที่ 2  รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ  (แบบลูกกรุง)  เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1  โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น  นำเสนอสาระเนื้อหา  7-8  ประเด็นมีจำนวนประมาณ  8-10 หน้า   *รูปแบบที่ 3  รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ (แบบสากล)  เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด  ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ  (academic  report)  ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป
+
*รูปแบบที่  1  รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ  เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ  นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ  เพียง 1-2  หน้า  ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน  หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ   
 +
 
 +
*รูปแบบที่ 2  รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ  เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1  โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น  นำเสนอสาระเนื้อหา  7-8  ประเด็นมีจำนวนประมาณ  8-10 หน้า
 +
 
 +
*รูปแบบที่ 3  รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด  ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ  (academic  report)  ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป
  
 
== จุดเริ่มต้นของการวิจัย ==
 
== จุดเริ่มต้นของการวิจัย ==
Line 86: Line 77:
 
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน  หรือการจัดการเรียนรู้ของครู  และครูมีความคิด  จิตใจ  มีความห่วงใย  และมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนหรือลูกศิษย์  จึงหาทางช่วยเหลือ  แก้ปัญหาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ  มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์  ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า  ''จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อยู่ที่ครูเป็นสำคัญ  คือครูที่มีความคิดและจิตใจ  เห็นว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด  เพราะปัญหาการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา''  หากครูไม่สนใจต่อปัญหาการเรียนรู้เหล่านั้นก็จะไม่เกิดการคิดแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มักจะมีคำถามต่อไปนี้ กล่าวคือ
 
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน  หรือการจัดการเรียนรู้ของครู  และครูมีความคิด  จิตใจ  มีความห่วงใย  และมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนหรือลูกศิษย์  จึงหาทางช่วยเหลือ  แก้ปัญหาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ  มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์  ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า  ''จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อยู่ที่ครูเป็นสำคัญ  คือครูที่มีความคิดและจิตใจ  เห็นว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด  เพราะปัญหาการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา''  หากครูไม่สนใจต่อปัญหาการเรียนรู้เหล่านั้นก็จะไม่เกิดการคิดแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มักจะมีคำถามต่อไปนี้ กล่าวคือ
  
*ทำไมผู้เรียนจึงไม่สนใจเรียน
+
*ทำไมผู้เรียนจึงไม่มีทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
*ผู้เรียนไม่รักการอ่าน  เพราเหตุใด
+
*ผู้เรียนขาดทักษะ Self awareness การรู้จักตนเอง เพราะเหตุใด
*ผู้เรียนเขียนภาษาไทยผิดพลาดมากในลักษณะใดบ้าง
+
*ผู้เรียนเขียนภาษาไทยผิดพลาดมากในลักษณะคำใดบ้าง
*จะทำอย่างไร  จะใช้วิธีการสอนแบบใดหรือจะใช้นวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้ผู้เรียนสนใจเรียน  รักการอ่าน  เขียนภาษาไทยถูกต้องหรือมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น
+
*จะทำอย่างไร  จะใช้วิธีการสอนแบบใดหรือจะใช้นวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น
*จะทำอย่างไร  จะจัดการเรียนรู้อย่างไร  หรือจะใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้  ความเข้าใจ  มีทักษะ  มีเจตคติที่ดี  หรือมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตรหรือมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
+
*จะทำอย่างไร  จะจัดการเรียนรู้อย่างไร  หรือจะใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้  ความเข้าใจ  มีทักษะชีวิต ตามเป้าหมายของมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้
  
 
คำถามข้อ (1)-(3) เป็นคำถามเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้เรียน  
 
คำถามข้อ (1)-(3) เป็นคำถามเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้เรียน  
Line 98: Line 89:
 
คำถามทั้งข้อ (1)-(5)  เรียกว่าเป็นคำถามวิจัย  (research question) เพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบ  การปฏิบัติการแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียน  ดังนั้น  หากครูผู้สอนพบปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้วตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวและเริ่มแสวงหาคำตอบ  หาวิธีการแก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างเป็นระบบแล้ว  ก็ถือได้ว่าครูได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว
 
คำถามทั้งข้อ (1)-(5)  เรียกว่าเป็นคำถามวิจัย  (research question) เพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบ  การปฏิบัติการแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียน  ดังนั้น  หากครูผู้สอนพบปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้วตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวและเริ่มแสวงหาคำตอบ  หาวิธีการแก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างเป็นระบบแล้ว  ก็ถือได้ว่าครูได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว
  
== ความแตกต่างระหว่างการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการวิจัยเชิงวิชาการ ==
 
  
ประเด็นที่มีความแตกต่างกันสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
+
เรียบเรียงเนื้อหาโดย ดร.เบ็ญจวรรณ ลี้เจริญ
+
1.จุดเริ่มต้นของการวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : เริ่มต้นจากสภาพปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือปัญหาการจัดการเรียนการสอนของครู และครูมีความคิดความปรารถนาดีที่จะแก้ปัญหาการเรียนรู้หรือปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเอง
+
  
การวิจัยเชิงพัฒนาการ : จุดเริ่มต้นของการวิจัยอาจมาจากนโยบายความต้องการของหน่วยงาน ความสนใจของนักวิจัยที่
+
== เอกสารอ้างอิง ==
ต้องการศึกษา ค้นหาคำตอบในประเด็นที่ต้องนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนา
+
  
2. ปัญหาการวิจัย
+
ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2560). เทคนิคการสร้างเครื่องมือวิจัย: แนวทางการนำไปใช้อย่างมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: อมรการพิมพ์.  
การวิจัยเพื่อการเรียนรู้
+
ปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนและปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียน  เป็นประเด็นปัญหาที่
+
เล็กแต่มีความสำคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนการสอนตามหลักสูตรและมาตรฐานการเรียนรู้
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
เป็นปัญหาในวงกว้างทางการศึกษาที่อาจเป็นปัญหาเชิงนโยบายการศึกษาหลักสูตร การบริหาร
+
การศึกษา ฯลฯ
+
  
ประเด็น
+
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559). เทคนิคการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มาวิทยาลัย.
3. วัตถุประสงค์/เป้าหมายของการวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
เพื่อแก้ปัญหา/พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและปรับปรุง/พัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
เพื่อสร้างองค์ความรู้ ข้อความรู้ทั่วไปซึ่งสามารถสรุปอ้างอิงในประชากรระดับกว้างได้
+
 
+
ประเด็น
+
4. ผู้วิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ดำเนินการโดยครูผู้สอนที่รับผิดชอบในแต่ละรายวิชา
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ดำเนินการโดยนักวิชาการหรือนักการศึกษาที่ไม่ได้ปฏิบัติงานการสอน
+
 
+
ประเด็น
+
5. ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
มุ่งศึกษาผู้เรียนที่เรียนในแต่ละรายวิชาที่มีปัญหาการเรียนรู้ ปัญหาการจัดการเรียนการสอนซึ่งอาจ
+
เป็นรายบุคคล  รายกลุ่ม รายห้องเรียน หรือทั้งระดับชั้นเรียนที่ครูนักวิจัยมีส่วนรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอน
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
กลุ่มนักเรียน หรือกลุ่มครูบุคลากรทางการศึกษา หรือกลุ่มเป้าหมายอื่นที่เป็นตัวแทนประชากรที่ผู้วิจัยเลือกมาศึกษา
+
 
+
ประเด็น
+
6. ช่วงเวลาในการทำวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
โดยครูนักวิจัยทำวิจัยควบคู่กับกับการเรียนการสอนหรือให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการ
+
สอน เพื่อให้ทันต่อการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาในการทำวิจัยไม่มากนัก
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
โดยนักวิจัยภายนอกทำวิจัยเมื่อมีปัญหาทางการศึกษาหรือมีความต้องการที่จะศึกษาหาคำตอบใน
+
ประเด็นที่สนใจ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนหรือประเด็นปัญหาอื่น อาจใช้เวลาในการทำวิจัยนานกว่าการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
 
+
ประเด็น
+
7. กระบวนการวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการวงจร PAOR ที่เป็นวงจรเดียวกับการปฏิบัติงานตามปกติโดย เริ่มจาก
+
วงจรเล็กๆ ของการวางแผน (Plan) การปฏิบัติ (Act) การสังเกต(Observe) และการสะท้อนผล(Reflect) ที่นำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนเป็นวงจรอย่างต่อเนื่อง
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ใช้กรบวนการวิจัยโดยกำหนดปัญหาศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ออกแบบการวิจัย (โดยกำหนด
+
ประชากร กลุ่มตัวอย่าง สร้างเครื่องมือ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล) และนำเสนอผลการวิจัย
+
 
+
ประเด็น
+
8. วิธีดำเนินการวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ไม่เน้นการกำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎีไม่เน้นแบบแผนการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่เคร่งครัด
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
มีการกำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี และพัฒนาทฤษฎี ยึดแบบแผนการวิจัยและการออกแบบการวิจัยที่รัดกุม
+
 
+
ประเด็น
+
9. การกำหนดวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอน
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
โดยอาศัยประสบการณ์ของครูนักวิจัยการเรียนรู้จากกรณีตัวอย่าง ของเพื่อนครู หรือการศึกษาค้นหาวิธีการ / นวัตกรรมจากแหล่งความรู้ต่างๆแล้วนำมาทดลองใช้และตรวจสอบผล
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ศึกษาทฤษฎีหรือผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
+
 
+
ประเด็น
+
10. การเก็บรวบรวมข้อมูล
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ครูเป็นผู้เก็บข้อมูล โดยใช้วิธีการสังเกตหลักฐานการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียน การทดสอบ ประเมินความรู้ ทักษะผู้เรียน
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ผู้วิจัยเป็นผู้เก็บข้อมูลโดยอาจใช้วิธีการที่หลากหลาย ทั้งแบบสอบถาม แบบทดสอบ การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม
+
 
+
ประเด็น
+
11. การวิเคราะห์ข้อมูล
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์ด้วยสิติขั้นพื้นฐาน ไม่เน้นการวิเคราะห์ด้วยสถิติสูง
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ส่วนใหญ่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสถิติขั้นพื้นฐานและสถิติขั้นสูงเน้นการสรุปอ้างอิง
+
 
+
ประเด็น
+
12. การเขียนรายงานการวิจัย
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
ครูนำเสนอผลการวิจัยให้เป็นหลักฐานการปฏิบัติงานในวิชาชีพครู โดยไม่เน้นรูปแบบรายงาน แต่มุ่งนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
มีรูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยที่เป็นทางการให้มีคุณภาพมาตรฐานทางวิชาการ
+
 
+
ประเด็น
+
13. การนำผลการวิจัยไปใช้
+
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
+
นำผลไปใช้แก้ปัญหา พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน และปรับปรุง พัฒนา การเรียนการสอนของครูในแต่ละรายวิชา ไม่มุ่งนำผลไปใช้ในวงกว้างหรือไม่เน้นการสรุปอ้างอิง และตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิชาการ
+
การวิจัยเชิงวิชาการ
+
ผลการวิจัยอาจไม่ได้นำไปใช้ในทางปฏิบัติจริง แต่อาจมีการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิจัยหรือบทความทางวิชาการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการและวงการวิชาชีพ
+
 
+
== เอกสารอ้างอิง ==
+

Latest revision as of 10:26, 19 October 2018

ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้

ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน และครูผู้สอนไว้มีดังนี้

ช่วยลดปัญหาในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะผู้เรียน

จุดประสงค์การเรียนรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนควรจะได้รับจากการเรียนรู้เป็นแผนที่ครูกำหนดขึ้นไว้ก่อนจัดการสอน แต่เมื่อครูได้จัดการเรียนรู้แล้วอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งแสดงว่าได้เกิดปัญหาการเรียนรู้แล้ว หากครูยังไม่ได้คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ดังกล่าวนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปและส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน แต่ถ้าครูมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนในฐานะลูกศิษย์ และมีความสำนึกรับผิดชอบต่อคุณภาพของผู้เรียน แล้วคิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะช่วยให้ปัญหาลดลงหรือหมดไป ผู้เรียนก็จะมีคุณภาพ การดำเนินงานของครูในลักษณะดังกล่าวถือว่าครูได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว ซึ่งช่วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อเติมเต็มศักยภาพให้นักเรียนมีทักษะชีวิต (Life Skills) , ทักษะในศตวรรษที่21 และ เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้

Maker14.jpg
Maker15.jpg

ได้สื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน เป็นโอกาสที่ครูจะได้คิดหาวิธีการหรือใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ประเภทต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาผู้เรียน ถ้าวิธีการหรือนวัตกรรมดังกล่าวสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ให้มีคุณภาพได้ถือว่าวิธีการหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อครูที่จะได้เรียนรู้ ดูเป็นแบบอย่าง และนำไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ การวิจัยนี้จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ได้สื่อ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพครู

มีฐานข้อมูลสาระสนเทศเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียน

ในการวางแผนพัฒนาโรงเรียนต้องอาศัยข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนาโรงเรียนได้อย่างถูกทิศทาง ข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องทำให้การวางแผนถูกต้อง ข้อมูลสารสนเทศที่ได้มาอย่างรวดเร็วทำให้โรงเรียนตัดสินใจได้เร็วไม่ล้าสมัย โรงเรียนจึงต้องมีฐานข้อมูลสารสนเทศในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยระบบฐานข้อมูลสำคัญ 3 ฐาน ข้อมูลหลักคือ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการสอน และฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ (สุวิมล ว่องวานิช,2550) ฐานข้อมูลทั้ง 3 ส่วนได้มาจากครูนักวิจัยในโรงเรียนซึ่งครูส่วนหนึ่งเมื่อทำวิจัยแล้วอาจทำให้ได้ข้อมูลที่นำไปสู่ฐานข้อมูลการเรียนรู้ ในขณะที่งานวิจัยของครูอีกส่วนหนึ่งอาจนำไปสู่ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และครูบางคาทำวิจัยแล้วช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียนครูที่ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ได้ฐานข้อมูลเพื่อการวางแผนพัฒนาโรงเรียนช่วยเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครู ครูที่ได้วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะทำให้ครูมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยครูได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพของครูมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559) ได้อ้างว่า การวิจัยปฏิบัติการหรือการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ช่วยให้ครูเห็นผลของการได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพ 3 ประการ คือ

  • การวิจัยที่ครูทำช่วยตรวจสอบการปฏิบัติงานวิชาชีพของครูว่าปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามความคาดหวังที่ครูตั้งไว้หรือไม่
  • การแลกเปลี่ยนความรู้จากงานวิจัยที่ได้ทำระหว่างครูนักวิจัย เพื่อนร่วมวิชาชีพ และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ครูเกิดการเรียนรู้และเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาชีพที่สามารถประเมินการปฏิบัติงานของครู และปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติงานทางวิชาชีพของครูให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  • จากการที่ครูนักวิจัยได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้านงานวิจัย ครูสามารถกำหนดมาตรฐานหรือ เกณฑ์การตัดสินคุณภาพงานของครูได้เอง โดยใช้มาตรฐานหรือเกณฑ์เดียวกับผู้อื่นใช้ตัดสินคุณภาพงานของครู และปรับให้เข้ากับวิธีการของผู้อื่นที่ได้จัดว่าเป็นการพัฒนาทางวิชาชีพครูและครูควรจะได้เรียนรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มีการเพิ่มพูนความรู้ ความก้าวหน้าทางวิชาชีพครู ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยเพื่อการเรียนรู้สำหรับเป็นฐานของการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างยั่งยืนต่อไป

ลักษณะสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้

1.ขอบเขตของการวิจัย

ขอบเขตของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้พิจารณาจากประเด็นสำคัญต่อไปนี้

  • คำถามวิจัย (research question) คือข้อสงสัยที่ครูกำหนดขึ้นเพื่อต้องการหาคำตอบปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ ปัญหาวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมผู้เรียนที่ครูต้องหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะการเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่งๆ เรื่องที่ทำวิจัยเป็นประเด็นที่เล็ก มีลักษณะเฉพาะเจาะจงไม่จำเป็นที่ต้องเป็นประเด็นที่กว้างเหมือนการวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นที่มีความสำคัญ มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือการจัดการเรียนรู้ของครู
  • ประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย หมายถึงผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดที่มีปัญหาการเรียนรู้ซึ่งครูต้องการจะศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาให้มีคุณภาพ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จะมุ้งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนบริบทของชั้นเรียน (classroom context) โดยที่เป้าหมายสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญหาหรือกลุ่มผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา

ดังนั้น ประชาการหรือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยอาจเป็นผู้เรียนหนึ่งคน หนึ่งกลุ่ม หนึ่งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นเพราะรายบุคคล รายกลุ่ม ทั้งห้องเรียน หรือหลายห้องเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของครู ในบางกรณีการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่จำเป็นต้องสุ่มเลือกผู้เรียนมาเพื่อศึกษา แก้ปัญหา หรือพัฒนาเฉพาะบางส่วนแต่ควรที่จะศึกษา แก้ปัญหา

ขอบข่ายลักษณะของการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ลักษณะ คือ

  • การวิจัยที่มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพหรือปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียน

เป็นการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เรียน สภาพการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน ประกอบด้วยการสำรวจชั้นเรียน (classroom survey) การวิเคราะห์พฤติกรรมในชั้นเรียน (behavior analysis) และการศึกษาเฉพาะกรณี (case study) การวิจัยลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research)

  • การวิจัยที่มุ่งปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน

เป็นการวิจัยที่มุ่งคิดค้นหาวิธีการ นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพหรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การวิจัยในลักษณะนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (semi-experimental research ) เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)

2. วิธีดำเนินการวิจัย

ลักษณะที่สำคัญของวิธีการดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีดังนี้

  • ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยคุณภาพ (Mix Method)
  • เป็นการวิจัยที่ไม่เคร่งครัดต่อแบบแผนการวิจัยมากนัก มีความยืดหยุ่น ปรับให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ของผู้เรียน ชั้นเรียน และสถานศึกษาใช้
  • เป็นในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการด้วยวงจร PAOR (Plan Act Observe Reflect) โดยมีการวางแผนแก้ปัญหา ปฏิบัติการแก้ปัญหา สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการปฏิบัติการแก้ปัญหา
  • ใช้กระบวนการวิจัยหรือกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมและการร่วมคิดร่วมทำ(participation & collaboration) ซึ่งอาจดำเนินงานด้วยตนเองหรือร่วมกับคณะครูที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกันโดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย เป็นการเรียนรู้คู่วิจัยทำให้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน

3. การนำผลวิจัยไปใช้

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปอ้างอิงถึงประชากรในวงกว้างหรือในชั้นเรียนอื่นๆ โดยทั่วไปเหมือนกับการวิจัยเชิงวิชาการ แต่มีจุดมุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนรายเฉพาะกลุ่มหรือทั้งห้องเรียนที่มีปัญหาการเรียนรู้และอยู่ในความรับผิดชอบของครู เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วควรนำเสนอผลการวิจัยเผยแพร่ไปสู่เพื่อนครู สู่วงวิชาชีพครูและวงวิชาการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการขยายองค์ความรู้ทำให้ศาสตร์การจัดการเรียนรู้หรือศาสตร์การสอนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้สูงขึ้นอีกด้วย

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในบริบททางการศึกษาในสถานศึกษาหรือในชั้นเรียนครู ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารการศึกษาที่มีบทบาททั้งการปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาและส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยของครู จะต้องนำผลวิจัยไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูหรือการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้ให้ทันต่อเหตุการณ์หรือสภาพปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

4. การรายงานผลการวิจัย

การรายงานผลการวิจัยมีความยืดหยุ่นในรูปแบบของรายงานการวิจัย อาจนำเสนอรายงานการวิจัยได้ 3 ลักษณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายและการนำผลการวิจัยไปใช้คือ

  • รูปแบบที่ 1 รายงานการวิจัยที่ไม่เป็นทางการ เป็นรายงานการวิจัยที่ไม่เน้นวิชาการ นำเสนอสาระโดยสรุปสั้นๆ เพียง 1-2 หน้า ใช้ถ้อยคำในระดับเดียวกันกับครูผู้ปฏิบัติงาน หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ
  • รูปแบบที่ 2 รายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ เป็นรายงานการวิจัยที่เป็นเชิงวิชาการมากขึ้นกว่ารูปแบบที่ 1 โดยมีรูปแบบโครงสร้างการรายงานมากขึ้น นำเสนอสาระเนื้อหา 7-8 ประเด็นมีจำนวนประมาณ 8-10 หน้า
  • รูปแบบที่ 3 รายงานการวิจัยเชิงวิชาการ เป็นการนำเสนอรายงานผลการวิจัยที่เป็นทางการมากที่สุด ในลักษณะของรายงานเชิงวิชาการ (academic report) ซึ่งมีรูปแบบหรือโครงสร้างของรายงานการวิจัยที่มีลักษณะเป็นแบบสากลที่ใช้กันโดยทั่วไป

จุดเริ่มต้นของการวิจัย

การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือการจัดการเรียนรู้ของครู และครูมีความคิด จิตใจ มีความห่วงใย และมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียนหรือลูกศิษย์ จึงหาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหาพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อยู่ที่ครูเป็นสำคัญ คือครูที่มีความคิดและจิตใจ เห็นว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด เพราะปัญหาการเรียนรู้จะเกิดขึ้นในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา หากครูไม่สนใจต่อปัญหาการเรียนรู้เหล่านั้นก็จะไม่เกิดการคิดแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มักจะมีคำถามต่อไปนี้ กล่าวคือ

  • ทำไมผู้เรียนจึงไม่มีทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
  • ผู้เรียนขาดทักษะ Self awareness การรู้จักตนเอง เพราะเหตุใด
  • ผู้เรียนเขียนภาษาไทยผิดพลาดมากในลักษณะคำใดบ้าง
  • จะทำอย่างไร จะใช้วิธีการสอนแบบใดหรือจะใช้นวัตกรรมอะไรจึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น
  • จะทำอย่างไร จะจัดการเรียนรู้อย่างไร หรือจะใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะชีวิต ตามเป้าหมายของมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดไว้

คำถามข้อ (1)-(3) เป็นคำถามเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้เรียน

คำถาม (4)-(5) เป็นคำถามที่มุ่งไปสู่การปฏิบัติเพื่อการแก้ไขการพัฒนาหรือช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพ

คำถามทั้งข้อ (1)-(5) เรียกว่าเป็นคำถามวิจัย (research question) เพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบ การปฏิบัติการแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียน ดังนั้น หากครูผู้สอนพบปัญหาการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้วตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวและเริ่มแสวงหาคำตอบ หาวิธีการแก้ไขหรือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ถือได้ว่าครูได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แล้ว


เรียบเรียงเนื้อหาโดย ดร.เบ็ญจวรรณ ลี้เจริญ

เอกสารอ้างอิง

ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2560). เทคนิคการสร้างเครื่องมือวิจัย: แนวทางการนำไปใช้อย่างมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: อมรการพิมพ์.

พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2559). เทคนิคการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มาวิทยาลัย.