Difference between revisions of "แนวทางการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็ก"
(→การมองตนเองและผู้อื่นในด้านบวก) |
|||
(2 intermediate revisions by the same user not shown) | |||
Line 43: | Line 43: | ||
โดยสอนให้รู้จักความรับผิดชอบภาระพื้นฐานในชีวิตของเขา มอบเป็นผู้รับผิดชอบเต็มในงาน แล้วยกย่องชมเชยให้บุคคลอื่นฟัง ให้รางวัลเมื่อเห็นว่าเขาดีอย่างต่อเนื่อง ให้คุณค่าการกระทำของเขา เช่น ช่วยงานบ้าน ล้างแก้ว ล้างจาน ช่วยปิดไฟ ปิดพัดลม หรือปิดประตู ดูแลมุมต้นไม้ในบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ให้อาหารสัตว์ในบ้าน ดูแลขยะ เอาขยะไปทิ้ง ซักผ้า เอาผ้าออกจากเครื่องไปตาก ฯลฯ | โดยสอนให้รู้จักความรับผิดชอบภาระพื้นฐานในชีวิตของเขา มอบเป็นผู้รับผิดชอบเต็มในงาน แล้วยกย่องชมเชยให้บุคคลอื่นฟัง ให้รางวัลเมื่อเห็นว่าเขาดีอย่างต่อเนื่อง ให้คุณค่าการกระทำของเขา เช่น ช่วยงานบ้าน ล้างแก้ว ล้างจาน ช่วยปิดไฟ ปิดพัดลม หรือปิดประตู ดูแลมุมต้นไม้ในบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ให้อาหารสัตว์ในบ้าน ดูแลขยะ เอาขยะไปทิ้ง ซักผ้า เอาผ้าออกจากเครื่องไปตาก ฯลฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | == การมองตนเองและผู้อื่นในด้านบวก == | ||
+ | |||
+ | คือ การมองตนเองและผู้อื่นในแง่บวก คือ การแสดงความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง คือ การจัดการกับอารมณ์ตนเองที่เกิดขึ้นอย่างแบพลันที่อาจก่อให้เกิดปัญหาด้วยวิธีการที่เหมาะสมและสร้างสรรค์ | ||
+ | |||
+ | '''มองดี อารมณ์ดี แล้วเป็นอย่างไร ?''' | ||
+ | |||
+ | ผู้ที่มองตนเองและผู้อื่นในแง่บวก จะเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต มองเห็นทางออกของปัญหาได้ดี ปรับตัวในทุกสถานการณ์ | ||
+ | |||
+ | ความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต ดังคำพูดที่ว่า “ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน” ความคิดและอารมณ์มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หากเรามีอารมณ์ทางบวกหรือคิดทางบวก พฤติกรรมที่แสดงออกมาย่อมเป็นในทางบวก หากเรามีอารมณ์ทางลบหรือคิดทางลบ พฤติกรรมที่แสดงออกย่อมเป็นไปในทางลบด้วย | ||
+ | |||
+ | '''ลักษณะความคิดทางบวกและความคิดทางลบ''' | ||
+ | |||
+ | ความคิดทางบวก เป็นความคิดที่นำความสุขสู่ตนเอง ได้แก่ | ||
+ | *มีอารมณ์ขัน มักมองสิ่งที่เหลืออยู่มากกว่าสิ่งที่ขาด และสิ่งที่ไม่มีหรือหาสิ่งทดแทนจากการสูญเสีย | ||
+ | *มองปัญหาว่ามีทางแก้ไข เมื่อมีปัญหามองว่า “อะไรผิด” มากกว่าที่จมองว่า “ใครผิด” | ||
+ | *มีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้ว่าตนเองทำอะไร เพื่ออะไร | ||
+ | *ตั้งความหวังไว้อย่างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงทั้งของตนเองและผู้อื่น | ||
+ | |||
+ | ความคิดทางลบ เป็นความคิดที่นำความทุกข์มาสู่ตนเอง ได้แก่ | ||
+ | *ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น | ||
+ | *คาดการณ์ไปในทางร้ายหรือทางสูญหาย คิดแต่ความไม่ดี อุปสรรคและปัญหาที่บั่นทอนความสำเร็จ | ||
+ | *ตำหนิเอง หรือมองตนเองว่าไร้ความสามารถ ไม่เก่ง เรียนสู้ผู้อื่นไม่ได้หรือโทษตนเอง | ||
+ | *การไม่อยู่กับปัจจุบัน วิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือหมกมุ่นครุ่นคิดติอยู่กับอดีตที่ผ่านมา อยากแก้อดีตที่เป็นไปไม่ได้ | ||
+ | *คิดแค้น เอาคืน ฉันทุกข์อย่างไร ผู้อื่นต้องทุกข์เท่ากับฉัน หรือต้องมากกว่าฉัน เป็นต้น | ||
+ | |||
+ | '''แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองเพื่อเสริมสร้างการมองบวก''' | ||
+ | |||
+ | การสื่อสารเชิงบวกเป็นทักษะพื้นฐานที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเรียนรู้และนำไปปฏิบัติกับบุตรหลานทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางดังนี้ | ||
+ | |||
+ | *สบตา แสดงสีหน้ายอมรับขณะสนทนา และเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม | ||
+ | *แสดงท่าทางที่เหมาะสม เช่น ผงกศีรษะรับฟัง โน้มตัวเข้าหาแสดงให้เห็นว่ารับฟังด้วยความตั้งใจ | ||
+ | *รู้จักการสัมผัส เช่น การจับมือ โอบกอด ทำให้รู้สึกอบอุ่น | ||
+ | *หมั่นบอกความรู้สึกของตนให้บุตรหลานได้รับรู้ทำให้เข้าใจกันและกัน | ||
+ | *รับฟังความคิดเห็นของบุตรหลาน รู้จักชื่นชมและขอบคุณ | ||
+ | *รักษาบรรยากาศที่ดีในครอบครัว | ||
+ | *สร้างข้อตกลงที่ชัดเจนภายในครอบครัว ว่าสิ่งไหนปฏิบัติได้/ไม่ได้ หรือกำหนดหน้าทีในการทำงานภายในครอบครัว | ||
+ | *ควรปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย | ||
+ | *แสดงการรับรู้หรือให้รางวัลชื่นชมต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ | ||
+ | *ไม่แสดงอารมณ์โกรธ หรือสูญเสียการควบคุมตนเอง | ||
+ | *ไม่ทะเลาะกันให้บุตรหลานเห็น | ||
+ | *ยอมรับข้อผิดพลาดของสมาชิกในครอบครัวว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ | ||
+ | *ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อบุตรหลานทั้งคำพูดและการกระทำในสิ่งที่อยากให้บุตรหลานปฏิบัติ | ||
+ | *แสดงความรู้สึกและใช้เหตุผลอธิบายให้บุตรหลานเข้าใจในสิ่งที่ไม่อนุญาตให้บุตรหลานปฏิบัติ | ||
+ | *ปฏิบัติให้บุตรหลานเห็นถึงการยมรับความคิดเห็นของผู้อื่นหรือเคารพสิทธิของผู้อื่น | ||
+ | *ใช้อารมณ์ขันตามโอกาสเหมาะสม | ||
+ | *ไม่เปรียบเทียบเขากับผู้อื่น | ||
+ | *พยายามให้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆอยู่เสมอ | ||
+ | |||
+ | '''แนวทางการเสริมสร้างให้เด็กมองตนเองและผู้อื่นเชิงบวก''' | ||
+ | |||
+ | *พูดคุย สนทนา ซักถาม ให้ทำงาน ให้เด็กทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ด้วยคำพูด กิริยาท่าทาง ผ่อนคลาย ไม่แสดงอำนาจท่าทางที่ข่มขู่ | ||
+ | *ชวนดูข่าว ภาพยนตร์ ละคร และชี้ชวนให้วิเคราะห์ถึงปัญหา สาเหตุ ผลกระทบของการมองตนเองในแง่ลบ หรือโทษตนเอง | ||
+ | *ฝึกให้เด็กคิดและมองผู้อื่น มองสิ่งแวดล้อมรอบตัวในแง่บวก พูดบอกใช้กิริยาท่าทางสื่อสารทางบวกกับพี่น้อง ปู่ย่า ตายาย และเพื่อนๆ อย่างสม่ำเสมอ | ||
+ | *ฝึกให้รู้จักการพูด ขอบคุณ ขอโทษ พูดชมและพูดให้กำลังใจตนเอง น้อง พี่และบุคคลอื่นๆ | ||
+ | *เมื่อมีการโต้แย้งหรือความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน ให้ฝึกแสดงความคิดเห็นเชิงบวก ไม่ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นด้วยอารมณ์ แต่ให้ใช้เหตุผล | ||
+ | *ฝึกแสดงกริยา วาจา ใจ ให้แสดงออกทางบวก ได้แก่ การยิ้ม (วันนี้คุณยิ้มหรือยัง) | ||
+ | *ฝึกการแสดงกิริยาที่ชื่นชม ให้กำลังใจผู้อื่น เช่น การแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ (ทำท่ามือ), การสบตาหรือใช้สายตาสื่อสาร ดีใจ เสียใจ ชื่นชม ฯลฯ | ||
+ | *การพูดทักทายที่แสดงความเป็นมิตร เช่น สวัสดีจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จัก สวัสดีจ๊ะ ดีใจจังที่พบเธอ ฯลฯ | ||
+ | *การสัมผัสด้วยการจับมือ การกอด การแตะ ที่เป็นการให้กำลังใจ รับรู้ความทุกข์ขงผู้อื่น | ||
+ | |||
+ | '''แนวทางการฝึกบุตรหลานให้ควบคุมอารมณ์โกรธ''' | ||
+ | |||
+ | อารมณ์เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มากระทบจิตใจ เช่น คำพูด การกระทำ สถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งอาจแสดงออกทางร่างกายในลักษณะต่างๆ เช่น หน้าซีด หน้าแดง น้ำตาไหล เสียงดัง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น อารมณ์เป็นความรู้สึกที่มีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ การแสดงอารมณ์ที่ไม่ได้รับการควบคุม อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น การควบคุมอารมณ์และการจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน | ||
+ | เป็นทักษะที่เรียนรู้และฝึกฝนได้ โดยการฝึกอย่างเป็นขั้นตอนที่ถูกวิธีการจัดการอารมณ์ จะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ดี และควรเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและสถานการณ์ ในวัยเด็ก อารมณ์ที่มักเกิดขึ้นและไม่สามารถควบคุมได้ทันทีทันใด คือ อารมณ์โกรธ ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรมีวิธีการจัดการกับอารมณ์โกรธ ดังนี้ | ||
+ | |||
+ | '''สอนให้ลูก “รู้จัก” อารมณ์โกรธ''' | ||
+ | |||
+ | เมื่อลูกทะเลาะกันและเกิดอารมณ์โกรธ พ่อแม่ส่วนใหญ่มักสั่งให้ลูกหยุดโกรธทันทีซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติ และเราจะพบเห็นเสมอ พ่อแม่ก็จะสั่งสอนอีกยกใหญ่ โดยไม่ใส่ใจว่าอารมณ์ของลูกในขณะนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดขั้นตอน และไร้ผลเพราะขณะที่อารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟ เด็กจะไม่สนใจฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ แต่เด็กต้องการคนที่เข้าใจอารมณ์ว่าเขารู้สึกอย่างไร การทำให้ลูกรู้ตัวและเข้าใจอารมณ์โกรธขณะนั้น เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำเป็นอันดับแรก เมื่ออารมณ์โกรธของลูกคลายลงแล้ว จึงมีความพร้อมที่จะรับฟังคำสั่งสอน หรือข้อเสนอแนะของพ่อแม่ ฝึกให้ลูกรู้จักและเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง จะทำให้ลูกรู้ตัวเร็วขึ้น และสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ ซึ่งเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกอยู่อย่างมีความสุขร่วมกับผู้อื่น และประสบความสำเร็จในชีวิต | ||
+ | |||
+ | '''หลักสำคัญในการจัดการความโกรธ''' คือ | ||
+ | |||
+ | *ให้ลูกแยกตัวออกมาจากเหตุการณ์อยู่ในบรรยากาศที่สงบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ | ||
+ | *ให้ระบายความรู้สึก เช่น พูดคุยกับคนที่เข้าใจ | ||
+ | *ให้รู้ตัวว่ากำลังโกรธ โดยให้สังเกตหน้าตาส่องกระจกดูตนเอง หรือตรวจเช็คสภาพของตนเองว่า กำลังเกร็ง หายใจเกร็ง ขมวดคิ้วอยู่หรือไม่ หรือควรเช็คสภาพจิตใจว่าปั่นป่วนแค่ไหน | ||
+ | *เมื่อความโกรธลดลงแล้ว ค่อยมาหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก | ||
+ | |||
+ | '''วิธีการจัดการกับปัญหา การควบคุมอารมณ์ไม่ได้ของบุตรหลาน''' | ||
+ | *พ่อแม่แสดงออกให้ลูกรู้ว่า รักห่วงใยและเข้าใจลูกด้วยการแตะไหล่ จับมือ โดยกอดและปกป้อง จากนั้นต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกอย่างสม่ำเสมอ | ||
+ | *พูดคุยให้ลูกเข้าใจถึงความห่วงใยของพ่อแม่ว่า กลัวจะเกิดผลเสียของการไม่ควบคุมอารมณ์ตนเอง และการมีเรื่องกระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น | ||
+ | *ชวนลูกฝึกการควบคุมอารมณ์ | ||
+ | *การนับเลข | ||
+ | *การหายใจเข้าออก | ||
+ | *หนีออกจากสถานการณ์นั้นไปก่อน | ||
+ | *ชวนลูกฝึกการรับรู้อารมณ์ตนเอง เพื่อให้รู้เท่ทันอารมณ์ | ||
+ | *สถานการณ์หรือเหตุการณ์หรือการกระทำ คำพูดอะไรบ้างที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ให้หลีกเลี่ยงหรือรับรู้ว่า อารมณ์ก้าวร้าว เกิดขึ้นเมื่อไรก็ให้ควบคุมอารมณ์นั้นไว้ หลีกหนีออกจากต้นเหตุนี้ | ||
+ | |||
+ | == การภาคภูมิใจในตนเองและผู้อื่น == | ||
+ | |||
+ | |||
+ | == การใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์สร้างความสุขให้กับตัวเอง == | ||
+ | |||
+ | |||
+ | |||
+ | == เอกสารอ้างอิง == | ||
+ | |||
+ | สำนักวิชาการและมาตราฐานการศึกษา และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). ''เอกสารการเสริมสร้างทักษะชีวิตตามจุดเน้นการพัฒนาผู้เรียนโดยผู้ปกครอง"เอาถ่านทั้งบ้านเลย"''. สืบค้นจาก http://lifeskills.obec.go.th/old/pdf/e-Book_เอาถ่านทั้งบ้านเลย.pdf |
Latest revision as of 09:13, 28 August 2018
เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะชีวิตในขั้นพื้นฐานที่จะมีผลดีต่อไปในอนาคต พ่อ แม่ ผู้ปกครองและครูควรส่งเสริมลักษณะนิสัยขั้นพื้นฐานให้กับเด็กได้แก่ การรักเป็นเห็นคุณค่า, การมองตนเองและผู้อื่นในด้านบวก, การภาคภูมิใจในตนเองและผู้อื่น รายละเอียดถูกกล่าวถึงในแต่ละหัวข้อดังนี้
Contents
การรักเป็นเห็นคุณค่า
คือ การรักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น เป็นความรู้สึกที่บุคคลเข้าใจตนเอง รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า จะทำอะไรด้วยตนเอง ภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในตนเอง ผู้ที่รักและเห็นคุณค่าในตนเอง จะเป็นผู้ที่รู้จักเพิ่งตนเอง มีความรับผิดชอบ มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง และสามารถเผชิญปัญหากับการเรียน การทำงาน การดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดความผิดพลาดจะยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว มีสัมพันธภาพกับผู้อื่นเกี่ยวข้องได้อย่างอบอุ่น อ่อนโยน มากกว่าสัมพันธภาพที่แข็งกร้าว และควบคุมตนเองให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข เกิดแรงจูงใจที่จะทำประโยชน์ต่อครอบครัวและส่วนรวมต่อไป
แนวทางการปฏิบัติของพ่อแม่ ผู้ปกครอง
- ชี้แนะสนับสนุน และให้กำลังใจแก่บุตรหลานให้มีความพยายาม อดทน และตั้งใจทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้จนสำเร็จ
- สอนให้บุตรหลานรู้จักให้กำลังใจ หรือคำชมเชยแก่ตนเองและผู้อื่นด้วยความจริงใจ
- ให้เวลากับบุตรหลานได้ร่วมกิจกรรมในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เช่น ทำงานบ้านพัฒนาโรงเรียน วัด และชุมชน เป็นต้น
แนวทางการเสริมสร้างให้เด็กรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
การสร้างความรู้สึกดี การมองเห็นสิ่งดีๆ ที่ตนเองมีอยู่ย่อมเป็นการสร้างคุณค่าในตนเอง เมื่อเห็นว่าตนเองเป็นคนดีมีคุณค่าก็ย่อมพยายามทำสิ่งที่ดีงามในชีวิตและไม่นำสิ่งเลวร้ายหรือไม่ดีเข้ามาในชีวิต
การรักและเห็นคุณค่าในตนเองเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต การส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็กวัยอายุ 6-12 ปี ให้รักและเห็นคุณค่าในตนเองนั้น ทางด้านจิตวิทยาถือว่าวัยนี้เป็นวัยที่อยู่ในช่วงพัฒนาความรู้สึกและรับผิดชอบในตนเองที่จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นวัยที่เด็กสามารถพึ่งพาตนเอง มีความอยากรู้ อยากเห็น มีความสังเกต มีความสนใจต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวและไกลออกไปจากตังอย่างต่อเนื่องมีความสามรถในการแก้ปัญหาตามระดับสติปัญญา มีความต้องการที่จะเป็นคนสำคัญ เป็นที่นิยมชมชอบของบุคคลแวดล้อม ซึ่งลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นนับว่าเป็นลักษณะที่มีความพร้อมและเป็นไปได้สูง ในการเสริมสร้างปลูกฝังการรักษาและเห็นคุณค่าในตนเองของเด็กในวัยนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะชีวิตในขั้นพื้นฐานที่จะมีผลดีต่อไปในอนาคต
ลักษณะของการรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
ลักษณะของบุคคลทีรักและเห็นคุณค่าในตนเองสูงจะเป็นผู้ที่มีความคิดในด้านบวก(Positive Thinkng) บอคุณค่าในความสามารถของตนเองและผู้อื่นได้ตามความเป็นจริง มีความเป็นตัวของตัวเอง พึ่งตนเองได้ไม่รอพึ่งผู้อื่น มีความคิดที่ก่อให้เกิดการกระทำที่สร้างสรรค์ ลักษณะของบุคคลที่รักและเห็นคุณค่าในตนเองสูง จำแนกได้ดังนี้
- มีใบหน้า ท่าทาง วิธีการพูด การเคลื่อนไหวแฝงไว้ด้วยความแจ่มใส ร่าเริง มีชีวิตชีวา มีความปิติยินดีปรากฏอยู่ในตัว
- สามารถพูดถึงความสำเร็จ หรือข้อบกพร่องของตนได้อย่างตรงไปตรงมา และด้วยน้ำใจจริง
- สามารถเป็นผู้ให้ และผู้รับคำชมเชยอย่างเป็นปกติ แสดงออกซึ่งความรัก ความซาบซึ้งต่างๆ ให้เห็นอยู่เสมอ
- สามารถเปิดใจรับคำตำหนิและไม่ทุกข์ร้อน เมื่อมีผู้กล่าวถึงความผิดพลาดของตน
- การพูดและการเคลื่อนไหวมีลักษณะไม่วิตกกังวลเป็นไปตามธรรมชาติ
- มีความกลมกลืนกันเป็นอย่างดีระหว่างคำพูด การกระทำ การแสดงออก และการเคลื่อนไหว
- มีทัศนคติที่เปิดเผย อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับแนวคิด และประสบการณ์ และโอกาสใหม่ๆของชีวิต
- การที่จะเห็นความสนุกสนานกับมุกตลกของชีวิตทั้งของตนและผู้อื่น และพูดถึงมุมตลกนั้นให้ผู้อื่นรับรู้อยู่เสมอ เช่น เขาเป็นคนโก๊ะมากเลย ฯลฯ
- มีทัศนะคติที่ยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อสถานการณ์ และสิ่งท้าทาย
- มีพฤติกรรมการแสดงออกในทางที่เหมาะสมกับกาลเทศะและสถานการณ์
- เป็นตัวของตัวเอง แม้ตกอยู่ภายในสถานการณ์ที่มีความเครียด
- พึ่งตนเองได้โดยไม่รีรอการช่วยเหลือจากผู้อื่น
แนวปฏิบัติสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง
1. ให้กำลังใจและพูดชื่นชม
พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องส่งเสริมให้บุตรหลานพัฒนาตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความชื่นชมของตนเองอย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นจริง ของเด็ก ลูกหลาน และพึงตระหนักอยู่เสมอว่า หัวใจสำคัญของการพัฒนาและเสริมสร้างการรักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่นให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก คือ “พ่อแม่ ผู้ปกครองมีความรักและเห็นคุณค่าในตัวบุตรหลาน เคารพต่อศักดิ์ความเป็นมนุษย์ของบุตรหลาน มีความเชื่อว่าบุตรหลานสามารถพัฒนาได้ตามศักยภาพ ใช้การสื่อสารทางบวก ที่สร้างกำลังใจ พูดชื่นชมทุกครั้งที่บุตรหลานปฏิบัติดี”
2. ยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญ
โดยสอนให้รู้จักความรับผิดชอบภาระพื้นฐานในชีวิตของเขา มอบเป็นผู้รับผิดชอบเต็มในงาน แล้วยกย่องชมเชยให้บุคคลอื่นฟัง ให้รางวัลเมื่อเห็นว่าเขาดีอย่างต่อเนื่อง ให้คุณค่าการกระทำของเขา เช่น ช่วยงานบ้าน ล้างแก้ว ล้างจาน ช่วยปิดไฟ ปิดพัดลม หรือปิดประตู ดูแลมุมต้นไม้ในบ้าน ดูแลสัตว์เลี้ยง ให้อาหารสัตว์ในบ้าน ดูแลขยะ เอาขยะไปทิ้ง ซักผ้า เอาผ้าออกจากเครื่องไปตาก ฯลฯ
การมองตนเองและผู้อื่นในด้านบวก
คือ การมองตนเองและผู้อื่นในแง่บวก คือ การแสดงความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง คือ การจัดการกับอารมณ์ตนเองที่เกิดขึ้นอย่างแบพลันที่อาจก่อให้เกิดปัญหาด้วยวิธีการที่เหมาะสมและสร้างสรรค์
มองดี อารมณ์ดี แล้วเป็นอย่างไร ?
ผู้ที่มองตนเองและผู้อื่นในแง่บวก จะเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต มองเห็นทางออกของปัญหาได้ดี ปรับตัวในทุกสถานการณ์
ความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต ดังคำพูดที่ว่า “ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน” ความคิดและอารมณ์มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หากเรามีอารมณ์ทางบวกหรือคิดทางบวก พฤติกรรมที่แสดงออกมาย่อมเป็นในทางบวก หากเรามีอารมณ์ทางลบหรือคิดทางลบ พฤติกรรมที่แสดงออกย่อมเป็นไปในทางลบด้วย
ลักษณะความคิดทางบวกและความคิดทางลบ
ความคิดทางบวก เป็นความคิดที่นำความสุขสู่ตนเอง ได้แก่
- มีอารมณ์ขัน มักมองสิ่งที่เหลืออยู่มากกว่าสิ่งที่ขาด และสิ่งที่ไม่มีหรือหาสิ่งทดแทนจากการสูญเสีย
- มองปัญหาว่ามีทางแก้ไข เมื่อมีปัญหามองว่า “อะไรผิด” มากกว่าที่จมองว่า “ใครผิด”
- มีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้ว่าตนเองทำอะไร เพื่ออะไร
- ตั้งความหวังไว้อย่างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงทั้งของตนเองและผู้อื่น
ความคิดทางลบ เป็นความคิดที่นำความทุกข์มาสู่ตนเอง ได้แก่
- ตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
- คาดการณ์ไปในทางร้ายหรือทางสูญหาย คิดแต่ความไม่ดี อุปสรรคและปัญหาที่บั่นทอนความสำเร็จ
- ตำหนิเอง หรือมองตนเองว่าไร้ความสามารถ ไม่เก่ง เรียนสู้ผู้อื่นไม่ได้หรือโทษตนเอง
- การไม่อยู่กับปัจจุบัน วิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือหมกมุ่นครุ่นคิดติอยู่กับอดีตที่ผ่านมา อยากแก้อดีตที่เป็นไปไม่ได้
- คิดแค้น เอาคืน ฉันทุกข์อย่างไร ผู้อื่นต้องทุกข์เท่ากับฉัน หรือต้องมากกว่าฉัน เป็นต้น
แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองเพื่อเสริมสร้างการมองบวก
การสื่อสารเชิงบวกเป็นทักษะพื้นฐานที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเรียนรู้และนำไปปฏิบัติกับบุตรหลานทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางดังนี้
- สบตา แสดงสีหน้ายอมรับขณะสนทนา และเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม
- แสดงท่าทางที่เหมาะสม เช่น ผงกศีรษะรับฟัง โน้มตัวเข้าหาแสดงให้เห็นว่ารับฟังด้วยความตั้งใจ
- รู้จักการสัมผัส เช่น การจับมือ โอบกอด ทำให้รู้สึกอบอุ่น
- หมั่นบอกความรู้สึกของตนให้บุตรหลานได้รับรู้ทำให้เข้าใจกันและกัน
- รับฟังความคิดเห็นของบุตรหลาน รู้จักชื่นชมและขอบคุณ
- รักษาบรรยากาศที่ดีในครอบครัว
- สร้างข้อตกลงที่ชัดเจนภายในครอบครัว ว่าสิ่งไหนปฏิบัติได้/ไม่ได้ หรือกำหนดหน้าทีในการทำงานภายในครอบครัว
- ควรปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย
- แสดงการรับรู้หรือให้รางวัลชื่นชมต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์
- ไม่แสดงอารมณ์โกรธ หรือสูญเสียการควบคุมตนเอง
- ไม่ทะเลาะกันให้บุตรหลานเห็น
- ยอมรับข้อผิดพลาดของสมาชิกในครอบครัวว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้
- ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อบุตรหลานทั้งคำพูดและการกระทำในสิ่งที่อยากให้บุตรหลานปฏิบัติ
- แสดงความรู้สึกและใช้เหตุผลอธิบายให้บุตรหลานเข้าใจในสิ่งที่ไม่อนุญาตให้บุตรหลานปฏิบัติ
- ปฏิบัติให้บุตรหลานเห็นถึงการยมรับความคิดเห็นของผู้อื่นหรือเคารพสิทธิของผู้อื่น
- ใช้อารมณ์ขันตามโอกาสเหมาะสม
- ไม่เปรียบเทียบเขากับผู้อื่น
- พยายามให้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆอยู่เสมอ
แนวทางการเสริมสร้างให้เด็กมองตนเองและผู้อื่นเชิงบวก
- พูดคุย สนทนา ซักถาม ให้ทำงาน ให้เด็กทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ด้วยคำพูด กิริยาท่าทาง ผ่อนคลาย ไม่แสดงอำนาจท่าทางที่ข่มขู่
- ชวนดูข่าว ภาพยนตร์ ละคร และชี้ชวนให้วิเคราะห์ถึงปัญหา สาเหตุ ผลกระทบของการมองตนเองในแง่ลบ หรือโทษตนเอง
- ฝึกให้เด็กคิดและมองผู้อื่น มองสิ่งแวดล้อมรอบตัวในแง่บวก พูดบอกใช้กิริยาท่าทางสื่อสารทางบวกกับพี่น้อง ปู่ย่า ตายาย และเพื่อนๆ อย่างสม่ำเสมอ
- ฝึกให้รู้จักการพูด ขอบคุณ ขอโทษ พูดชมและพูดให้กำลังใจตนเอง น้อง พี่และบุคคลอื่นๆ
- เมื่อมีการโต้แย้งหรือความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน ให้ฝึกแสดงความคิดเห็นเชิงบวก ไม่ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นด้วยอารมณ์ แต่ให้ใช้เหตุผล
- ฝึกแสดงกริยา วาจา ใจ ให้แสดงออกทางบวก ได้แก่ การยิ้ม (วันนี้คุณยิ้มหรือยัง)
- ฝึกการแสดงกิริยาที่ชื่นชม ให้กำลังใจผู้อื่น เช่น การแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ (ทำท่ามือ), การสบตาหรือใช้สายตาสื่อสาร ดีใจ เสียใจ ชื่นชม ฯลฯ
- การพูดทักทายที่แสดงความเป็นมิตร เช่น สวัสดีจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จัก สวัสดีจ๊ะ ดีใจจังที่พบเธอ ฯลฯ
- การสัมผัสด้วยการจับมือ การกอด การแตะ ที่เป็นการให้กำลังใจ รับรู้ความทุกข์ขงผู้อื่น
แนวทางการฝึกบุตรหลานให้ควบคุมอารมณ์โกรธ
อารมณ์เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มากระทบจิตใจ เช่น คำพูด การกระทำ สถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งอาจแสดงออกทางร่างกายในลักษณะต่างๆ เช่น หน้าซีด หน้าแดง น้ำตาไหล เสียงดัง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น อารมณ์เป็นความรู้สึกที่มีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ การแสดงอารมณ์ที่ไม่ได้รับการควบคุม อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น การควบคุมอารมณ์และการจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นทักษะที่เรียนรู้และฝึกฝนได้ โดยการฝึกอย่างเป็นขั้นตอนที่ถูกวิธีการจัดการอารมณ์ จะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ดี และควรเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและสถานการณ์ ในวัยเด็ก อารมณ์ที่มักเกิดขึ้นและไม่สามารถควบคุมได้ทันทีทันใด คือ อารมณ์โกรธ ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรมีวิธีการจัดการกับอารมณ์โกรธ ดังนี้
สอนให้ลูก “รู้จัก” อารมณ์โกรธ
เมื่อลูกทะเลาะกันและเกิดอารมณ์โกรธ พ่อแม่ส่วนใหญ่มักสั่งให้ลูกหยุดโกรธทันทีซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติ และเราจะพบเห็นเสมอ พ่อแม่ก็จะสั่งสอนอีกยกใหญ่ โดยไม่ใส่ใจว่าอารมณ์ของลูกในขณะนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดขั้นตอน และไร้ผลเพราะขณะที่อารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟ เด็กจะไม่สนใจฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ แต่เด็กต้องการคนที่เข้าใจอารมณ์ว่าเขารู้สึกอย่างไร การทำให้ลูกรู้ตัวและเข้าใจอารมณ์โกรธขณะนั้น เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำเป็นอันดับแรก เมื่ออารมณ์โกรธของลูกคลายลงแล้ว จึงมีความพร้อมที่จะรับฟังคำสั่งสอน หรือข้อเสนอแนะของพ่อแม่ ฝึกให้ลูกรู้จักและเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง จะทำให้ลูกรู้ตัวเร็วขึ้น และสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ ซึ่งเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกอยู่อย่างมีความสุขร่วมกับผู้อื่น และประสบความสำเร็จในชีวิต
หลักสำคัญในการจัดการความโกรธ คือ
- ให้ลูกแยกตัวออกมาจากเหตุการณ์อยู่ในบรรยากาศที่สงบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
- ให้ระบายความรู้สึก เช่น พูดคุยกับคนที่เข้าใจ
- ให้รู้ตัวว่ากำลังโกรธ โดยให้สังเกตหน้าตาส่องกระจกดูตนเอง หรือตรวจเช็คสภาพของตนเองว่า กำลังเกร็ง หายใจเกร็ง ขมวดคิ้วอยู่หรือไม่ หรือควรเช็คสภาพจิตใจว่าปั่นป่วนแค่ไหน
- เมื่อความโกรธลดลงแล้ว ค่อยมาหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
วิธีการจัดการกับปัญหา การควบคุมอารมณ์ไม่ได้ของบุตรหลาน
- พ่อแม่แสดงออกให้ลูกรู้ว่า รักห่วงใยและเข้าใจลูกด้วยการแตะไหล่ จับมือ โดยกอดและปกป้อง จากนั้นต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกอย่างสม่ำเสมอ
- พูดคุยให้ลูกเข้าใจถึงความห่วงใยของพ่อแม่ว่า กลัวจะเกิดผลเสียของการไม่ควบคุมอารมณ์ตนเอง และการมีเรื่องกระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น
- ชวนลูกฝึกการควบคุมอารมณ์
- การนับเลข
- การหายใจเข้าออก
- หนีออกจากสถานการณ์นั้นไปก่อน
- ชวนลูกฝึกการรับรู้อารมณ์ตนเอง เพื่อให้รู้เท่ทันอารมณ์
- สถานการณ์หรือเหตุการณ์หรือการกระทำ คำพูดอะไรบ้างที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ให้หลีกเลี่ยงหรือรับรู้ว่า อารมณ์ก้าวร้าว เกิดขึ้นเมื่อไรก็ให้ควบคุมอารมณ์นั้นไว้ หลีกหนีออกจากต้นเหตุนี้
การภาคภูมิใจในตนเองและผู้อื่น
การใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์สร้างความสุขให้กับตัวเอง
เอกสารอ้างอิง
สำนักวิชาการและมาตราฐานการศึกษา และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). เอกสารการเสริมสร้างทักษะชีวิตตามจุดเน้นการพัฒนาผู้เรียนโดยผู้ปกครอง"เอาถ่านทั้งบ้านเลย". สืบค้นจาก http://lifeskills.obec.go.th/old/pdf/e-Book_เอาถ่านทั้งบ้านเลย.pdf